พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของรวมในสินสมรส: ความยินยอมให้ผู้อื่นอยู่อาศัยไม่ขัดสิทธิเจ้าของรวมอื่น
บ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ ฉ. จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และ ฉ. ร่วมกันเมื่อ ฉ. อนุญาตให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากโจทก์อาศัยอยู่ในบ้านพิพาทแม้โจทก์ไม่ยินยอมให้จำเลยอยู่อาศัยต่อไปความยินยอมของ ฉ. ก็ไม่เป็นการขัดต่อสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1360วรรคหนึ่งการที่จำเลยไม่ยอมออกจากบ้านพิพาทจึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์ในฐานะเจ้าของรวมไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7250/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายกประเด็นพิพากษานอกประเด็นและส่งสำนวนกลับศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาประเด็นเจ้าของที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่าบิดาโจทก์ขายทีดินพิพาทให้ ค.ต่อมาค.ขายที่ดินนั้นให้จำเลย โดยที่ดินพิพาทโจทก์คงมีส่วนอยู่กึ่งหนึ่งขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทส่วนนี้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาทั้งแปลงและครอบครองตลอดมา ขอให้พิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ จำเลยมิได้ให้การยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และมิได้โต้แย้งการครอบครองโดยอ้างว่ามีการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ จึงไม่ประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองและการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นการพิพากษานอกประเด็นที่่พิพาทกัน และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนายที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่ในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7250/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นการฟ้องแย้งสิทธิในที่ดินพิพาทและการพิพากษานอกประเด็นที่โจทก์ฟ้อง ย้อนสำนวนเพื่อวินิจฉัยสิทธิในที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่าบิดาโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้ ค. ต่อมา ค.ขายที่ดินนั้นให้จำเลย โดยที่ดินพิพาทโจทก์คงมีส่วนอยู่กึ่งหนึ่ง ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทส่วนนี้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาทั้งแปลงและครอบครองตลอดมา ขอให้พิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ จำเลยมิได้ให้การยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และมิได้โต้แย้งการครอบครองโดยอ้างว่ามีการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ จึงไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองและการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นการพิพากษานอกประเด็นที่พิพาทกัน และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) แต่คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่ในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7019/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของโจทก์ร่วมที่อาศัยฟ้องของอัยการ และการริบของกลางที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
โจทก์ร่วมเข้ามาดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง โดยอาศัยสิทธิ ตามฟ้องของพนักงานอัยการ เมื่อคำฟ้องของพนักงานอัยการไม่มีคำขอให้ริบของกลางโจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องให้นอกเหนือไปจากฟ้องของพนักงานอัยการการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องนี้และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบของกลาง จึงไม่ชอบ แม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยจะมิได้ฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6939/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งผู้อนุบาล: ต้องแต่งตั้งคู่สมรสก่อน หากมีเหตุสำคัญศาลจึงจะตั้งผู้อื่นได้ การตั้งผู้อนุบาลร่วมไม่เป็นไปตามกฎหมาย
กรณีที่ศาลสั่งให้สามีหรือภริยาเป็นคนไร้ความสามารถจะต้องตั้งคู่สมรสเป็นผู้อนุบาลก่อนเพียงคนเดียวหากมีผู้อื่นร้องขอและมีเหตุสำคัญศาลจะตั้งผู้อื่นเป็นผู้อนุบาลก็ได้การจะตั้งทั้งคู่สมรสและบุคคลอื่นเป็นผู้อนุบาลร่วมกันจะไม่สอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1463 การจัดการสินสมรสของคนไร้ความสามารถผู้อนุบาลต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1598/16คือถ้าเป็นการจัดการตามมาตรา1476วรรคหนึ่งก็จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลร่วมกับผู้คัดค้าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6939/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งผู้อนุบาล: สามี/ภริยาเป็นผู้มีสิทธิก่อน เว้นแต่มีเหตุสำคัญจึงตั้งผู้อื่นได้
กรณีที่ศาลสั่งให้สามีหรือภริยาเป็นคนไร้ความสามารถจะต้องตั้งคู่สมรสเป็นผู้อนุบาลก่อนเพียงคนเดียว หากมีผู้อื่นร้องขอและมีเหตุสำคัญ ศาลจะตั้งผู้อื่นเป็นผู้อนุบาลก็ได้ การจะตั้งทั้งคู่สมรสและบุคคลอื่นเป็นผู้อนุบาลร่วมกันจะไม่สอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1463
การจัดการสินสมรสของคนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/16 คือถ้าเป็นการจัดการตามมาตรา 1476 วรรคหนึ่ง ก็จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลร่วมกับผู้คัดค้าน
การจัดการสินสมรสของคนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/16 คือถ้าเป็นการจัดการตามมาตรา 1476 วรรคหนึ่ง ก็จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลร่วมกับผู้คัดค้าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6939/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งผู้อนุบาล: คู่สมรสมีสิทธิก่อน เว้นแต่มีเหตุสำคัญจึงจะตั้งผู้อื่นได้
กรณีที่ศาลสั่งให้สามีหรือภริยาเป็นคนไร้ความสามารถจะต้องตั้งคู่สมรสเป็นผู้อนุบาลก่อนเพียงคนเดียว หากมีผู้อื่นร้องขอและมีเหตุสำคัญ ศาลจะตั้งผู้อื่นเป็นผู้อนุบาลก็ได้ การจะตั้งทั้งคู่สมรสและบุคคลอื่นเป็นผู้อนุบาลร่วมกัน จะไม่สอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1463 การจัดการสินสมรสของคนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/16 คือถ้าเป็นการจัดการตามมาตรา 1476 วรรคหนึ่ง ก็จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลร่วมกับผู้คัดค้าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6476/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดทางอาญา: การท้าทายวิวาทและการป้องกันตัวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หลังจากจำเลยและพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านแล้วประมาณ 10 นาทีจำเลยจึงวิ่งขึ้นไปบนบ้านของ ม. และนำอาวุธปืนออกมายืนหน้าบ้านเพื่อจะขู่กลุ่มของผู้เสียหายให้กลับไป เมื่อผู้เสียหายถือมีดดาบและขวดจะเข้าทำร้ายจำเลยห่างประมาณ3 เมตร จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มของผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลย เช่นนี้แสดงว่าจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของผู้เสียหาย เพราะขณะจำเลยกับพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้าน ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายหมดสิ้นไปแล้ว หากจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะวิวาทอีกต่อไป จำเลยก็ไม่น่าจะนำอาวุธปืนออกมายืนอยู่หน้าบ้าน อันเป็นการท้าทายกลุ่มของผู้เสียหายซึ่งเป็นวัยรุ่น จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นมาอ้างเพื่อให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6476/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การกระทำหลังหลบหนีและการท้าทายคู่กรณี
หลังจากจำเลยและพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านแล้วประมาณ 10 นาทีจำเลยจึงวิ่งขึ้นไปบนบ้านของ ม. และนำอาวุธปืนออกมายืนหน้าบ้านเพื่อจะขู่กลุ่มของผู้เสียหายให้กลับไป เมื่อผู้เสียหายถือมีดดาบและขวดจะเข้าทำร้ายจำเลยห่างประมาณ 3 เมตร จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มของผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลย เช่นนี้แสดงว่าจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของผู้เสียหาย เพราะขณะจำเลยกับพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้าน ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายหมดสิ้นไปแล้ว หากจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะวิวาทอีกต่อไปจำเลยก็ไม่น่าจะนำอาวุธปืนออกมายืนอยู่หน้าบ้าน อันเป็นการท้าทายกลุ่มของผู้เสียหายซึ่งเป็นวัยรุ่น จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นมาอ้างเพื่อให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6313/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาท: ศาลไม่วินิจฉัยเกินเลยเมื่อจำเลยอ้างสิทธิของตนเอง
จำเลยให้การและนำสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1แต่ผู้เดียว โจทก์และจำเลยที่ 2 อยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1ดังนี้ตามคำให้การและทางนำสืบของจำเลยทั้งสองแสดงว่าไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์แต่อย่างใดจึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างในคำให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับที่จำเลยทั้งสองให้การไว้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 เกินกว่าหนึ่งปีชอบแล้ว