คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ทวิช กำเนิดเพ็ชร์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 383 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 607/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจไวยาวัจกรในการจัดการทรัพย์สินมรดกของวัด: การมอบอำนาจและการแต่งตั้งทนายความ
กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่18ลงวันที่30มีนาคม2536ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ.2505ระบุว่า"ไวยาวัจกร"หมายถึงคฤหัสถ์ผู้ได้รับแต่งตั้งและจะมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัดได้ตามที่เจ้าอาวาสมอบหมายเป็นหนังสือ ไวยาวัจกร ผู้ได้รับแต่งตั้งก่อนวันใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้ให้ถือว่าเป็นไวยาวัจกรตามกฎมหาเถรสมาคมต่อไปเมื่อนาย ป.ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าอาวาสวัดผู้คัดค้านให้เป็นไวยาวัจกรเมื่อวันที่1มีนาคม2536โดยอาศัยอำนาจตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่8จึงถือว่าเป็นไวยาวัจกรอยู่ย่อมมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัดได้ตามที่เจ้าอาวาสมอบหมายเป็นหนังสือ แม้ตามคำร้องคัดค้านระบุยืนยันว่านาย ป. มีอำนาจเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของผู้คัดค้านโดยมิได้แนบหนังสือมอบหมายของเจ้าอาวาสก็ตามแต่ก่อนสืบพยานผู้คัดค้านก็ได้แถลงขอส่งหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ก่อนวันยื่นคำร้องคัดค้านซึ่งมีเจ้าอาวาสวัดผู้คัดค้านลงนามและในชั้นสืบพยานเจ้าอาวาสก็มาเบิกความยืนยันรับรองหนังสือมอบอำนาจจึงฟังได้ว่าเจ้าอาวาสได้มอบหมายเป็นหนังสือให้นาย ป.ไวยาวัจกรมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของผู้คัดค้านก่อนยื่นคำร้องคดีนี้ ที่ดินเป็นมรดกของพระครู ส. ตกได้แก่ผู้คัดค้านจึงเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านการดำเนินคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของวัดเป็นการจัดการทรัพย์สินอย่างหนึ่งนาย ป. ย่อมมีอำนาจจัดการจึงมีสิทธิแต่งตั้งทนายความเพื่อดำเนินคดีนี้ได้คำร้องที่ทนายความซึ่งนาย ป. แต่งตั้งและได้ยื่นต่อศาลจึงสมบูรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 573/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนายิงเข้าห้องที่รู้ว่ามีคนอยู่ เล็งเห็นได้ถึงอันตรายถึงแก่ชีวิต เป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยยิงปืนเข้าไปในห้องน้ำโดยรู้ว่าผู้เสียหายอยู่ในนั้นจำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้จึงมีความผิดฐาน พยายามฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 553/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีข่มขืนฆ่า: พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ยืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดมาเบิกความต่อศาลจึงไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษจำเลยทั้งสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิซื้อคืนที่ดินตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ไม่สุจริต
โจทก์ใช้สิทธิขอซื้อที่นาพิพาทคืนโดยยื่นคำร้องขอต่อประธานคชก. ตำบล และทำหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดแล้ว จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองทราบเรื่องที่โจทก์ขอซื้อที่นาพิพาทคืน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำไม่สุจริตการที่โจทก์มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทคืนเป็นกรณีที่โจทก์มีสิทธิตาม พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 54 เมื่อจำเลยที่ 1 โอนที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อที่นาพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้
ศาลอุทธรณ์มิได้กำหนดเวลาให้โจทก์ชำระราคาที่นาพิพาทคืนศาลฎีกากำหนดเวลาให้โจทก์ชำระราคาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินเมื่อผู้ขายทราบสิทธิซื้อคืนของผู้เช่าและกระทำการโดยไม่สุจริต
โจทก์ใช้สิทธิขอซื้อที่นาพิพาทคืนโดยยื่นคำร้องขอต่อประธานคชก.ตำบลและทำหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดแล้วจำเลยที่1ได้จดทะเบียนโอนขายที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่2โดยจำเลยทั้งสองทราบเรื่องที่โจทก์ขอซื้อที่นาพิพาทคืนการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำไม่สุจริตการที่โจทก์มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทคืนเป็นกรณีที่โจทก์มีสิทธิตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54เมื่อจำเลยที่1โอนที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่2โดยไม่สุจริตโจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อที่นาพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ ศาลอุทธรณ์มิได้กำหนดเวลาให้โจทก์ชำระราคาที่นาพิพาทคืนศาลฎีกากำหนดเวลาให้โจทก์ชำระราคาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 109/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอน น.ส.3 ที่ดินร่วม การเพิกถอนเฉพาะส่วนที่ทับที่ดินโจทก์ ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ถูกเพิกถอนโดยตรง
โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่จำเลยที่2ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายออกให้แก่จำเลยที่1โดยไม่ชอบเพราะที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ทั้งสามกับ พ. และ อ.ซึ่งได้แบ่งการครอบครองและทำประโยชน์เป็นส่วนสัดแล้วและคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนเฉพาะส่วนซึ่งโจทก์ทั้งสามมีสิทธิครอบครองตามเอกสารท้ายฟ้องเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งชั้นบังคับคดีให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหมดตามรูปแผนที่ของโจทก์ทั้งสามหาก อ. จะได้รับความเสียหายจากการเพิกถอนก็ต้องว่ากล่าวเป็นคดีใหม่ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่1ได้รับความเสียหายจากการเพิกถอนครั้งนี้จำเลยที่1จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้จัดการแก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9121/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ใหม่และการกำหนดอายุความฟ้องคดี การฟ้องโดยอาศัยหนี้เดิมตามเช็คหรือไม่
กรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/35ต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่ก่อนแล้วต่อมาหนี้ขาดอายุความภายหลังจากนั้นลูกหนี้จึงได้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือจำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์มาก่อน การที่จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ ตามมาตรา 193/35 แต่กรณีเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการ เปลี่ยนตัวลูกหนี้จากบริษัทอื่นมาเป็นจำเลย การฟ้องคดีตาม บันทึกข้อตกลงแปลงหนี้ใหม่ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความสิบปีตามมาตรา 193/30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9121/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ใหม่ vs. การแปลงหนี้: อายุความฟ้องคดี
กรณีที่จะต้องด้วยบทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/35ต้องเป็นกรณีลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้อยู่ก่อนแล้ว ต่อมาหนี้ขาดอายุความภายหลังจากนั้นลูกหนี้จึงได้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อจำเลยไม่เคยเป็นหนี้โจทก์มาก่อน การที่จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ขอชำระหนี้แทนบริษัท บ. ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 193/35 แต่กรณีเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากบริษัท บ.จำกัด มาเป็นจำเลย
การฟ้องคดีตามบันทึกข้อตกลงแปลงหนี้ใหม่ไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา193/30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8752/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานการกู้ยืมเงินไม่จำเป็นต้องระบุคำว่า 'กู้ยืม' หากมีหลักฐานหนี้สินชัดเจนและลงลายมือชื่อผู้กู้
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่งมิได้เคร่งครัดถึงกับว่าจะต้องมีถ้อยคำว่ากู้ยืมอยู่ในหนังสือนั้น เมื่อหนังสือมีข้อความระบุว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ จำนวน 188,259 บาท และยังไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์กับมีลายมือชื่อจำเลยลงไว้และมีตัวโจทก์มาสืบประกอบอธิบายว่าหนี้เงินจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไปซื้อกระดาษทำกล่องใส่เค้กมาขายให้ โจทก์เพื่อหักหนี้กันจึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมฟ้องร้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8447/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิกรมสรรพากรขอเฉลี่ยหนี้ภาษีอากรค้างในคดีบังคับคดี แม้ไม่ใช่หนี้ตามคำพิพากษา และระยะเวลาการยื่นคำขอ
กรมสรรพากรมีสิทธินำหนี้ภาษีอากรค้างมายื่นขอเฉลี่ยในคดีที่มีการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 290 วรรคสามได้ ถึงแม้มิใช่หนี้อันเกิดจากคำพิพากษาก็ตาม ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2534 ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอเฉลี่ยภายในวันที่ 22 สิงหาคม 2534 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสี่มิใช่ต้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขายทอดตลาด
of 39