คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ทวิช กำเนิดเพ็ชร์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 383 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6547/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการครอบครองทรัพย์สิน: ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยแม้ไม่ได้อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบและจดทะเบียนโอนอาคารพาณิชย์ห้องพิพาทให้โจทก์ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดีโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไปจัดการให้โจทก์เข้าครอบครองอาคารพาณิชย์ห้องพิพาทและส่งมอบให้โจทก์เข้าครอบครองแล้ว การส่งมอบดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 ตรี เพื่อจัดการให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเข้าครอบครองทรัพย์ หาใช่เป็นการยึดทรัพย์เพื่อนำออกขายทอดตลาดตามความใน ป.วิ.พ. มาตรา 288 ไม่ กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 288 ที่ผู้ร้องจะมาร้องขอให้ปล่อยอาคารพาณิชย์ห้องพิพาทได้
ปัญหาว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขัดทรัพย์หรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6502/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนการบังคับคดีต้องชำระหนี้ทั้งหมด รวมถึงค่าธรรมเนียมการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ แต่เนื่องจากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้ ศาลชั้นต้นตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์ของจำเลยแล้ว การที่ จำเลยยื่นคำแถลงขอชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ค้างชำระทั้งหมดพร้อมค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการบังคับคดี เป็นการขอถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) การขอถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) นั้น ลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องวางเงินต่อศาล เป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม แห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยซึ่งค่าธรรมเนียม ในการบังคับคดีนั้น รวมถึงค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สิน ซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อภายหลังที่มี การยึดทรัพย์แล้วจำเลยนำเงินมาวางศาลเฉพาะที่ค้างชำระหนี้ โจทก์และค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีเท่านั้น โดยมิได้วางเงิน ค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายไว้ด้วย การที่ ศาลชั้นต้นสั่งถอนการบังคับคดีจึงไม่ถูกต้อง โจทก์ชอบ ที่จะบังคับคดีต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6502/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนการบังคับคดีต้องวางเงินชำระหนี้ทั้งหมด รวมถึงค่าธรรมเนียมการบังคับคดี มิฉะนั้นโจทก์ยังคงมีสิทธิบังคับคดีต่อได้
จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 และดำเนินการบังคับคดีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลงขอชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ค้างชำระทั้งหมดพร้อมค่าฤชา-ธรรมเนียมแห่งคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการบังคับคดี เป็นการขอถอนการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 295 (1) ซึ่งลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องวางเงินต่อศาลเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษา พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีให้ครบถ้วนเสียก่อน แต่จำเลยที่ 1 นำเงินมาวางศาลเฉพาะที่ค้างชำระหนี้โจทก์และค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีเท่านั้น โดยมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขาย อันเป็นค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีไว้ด้วย ซึ่งหากศาลชั้นต้นสั่งให้หักเงินค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายจากเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางชำระหนี้ต่อศาล จะทำให้เงินที่วางไว้ไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา ฉะนั้นเมื่อวางเงินไม่ครบถ้วน การที่ศาลชั้นต้นสั่งถอนการบังคับคดีจึงไม่ถูกต้อง โจทก์ชอบที่จะบังคับคดีต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6502/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนการบังคับคดีต้องชำระหนี้ครบถ้วน รวมถึงค่าธรรมเนียมการบังคับคดีด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์แต่เนื่องจากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์จึงขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์ของจำเลยแล้วการที่จำเลยยื่นคำแถลงขอชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ค้างชำระทั้งหมดพร้อมค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการบังคับคดีเป็นการขอถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา295(1) การขอถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา295(1)นั้นลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องวางเงินต่อศาลเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยซึ่งค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีนั้นรวมถึงค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง5ข้อ3ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเมื่อภายหลังที่มีการยึดทรัพย์แล้วจำเลยนำเงินมาวางศาลเฉพาะที่ค้างชำระหนี้โจทก์และค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีเท่านั้นโดยมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายไว้ด้วยการที่ศาลชั้นต้นสั่งถอนการบังคับคดีจึงไม่ถูกต้องโจทก์ชอบที่จะบังคับคดีต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6339/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม แม้มีนิติสัมพันธ์กัน ศาลไม่รับพิจารณา
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นส่วนตัวให้รับผิดชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันบริษัทจำเลยที่ 1 ส่วนฟ้องแย้งนั้นจำเลยที่ 2 ยกข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาในฐานะที่จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 ซึ่งอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาในการปล่อยสินเชื่อให้จำเลยที่ 1จึงเป็นการใช้สิทธิฟ้องคดีคนละฐานะกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ตามฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6339/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม แม้มีนิติสัมพันธ์กัน ศาลไม่รับพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
โจทก์ฟ้องจำเลยที่2เป็นส่วนตัวให้รับผิดชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันบริษัทจำเลยที่1ส่วนฟ้องแย้งนั้นจำเลยที่2ยกข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาในฐานะที่จำเลยที่2เป็นกรรมการของจำเลยที่1ซึ่งอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาในการปล่อยสินเชื่อให้จำเลยที่1จึงเป็นการใช้สิทธิฟ้องคดีคนละฐานะกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่2ตามฟ้องเดิมฟ้องแย้งของจำเลยที่2จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6339/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นส่วนตัวให้รับผิดชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ตามฟ้องแย้งนั้นจำเลยที่ 2 ยกข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาในฐานะที่จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 ซึ่งอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาในการปล่อยสินเชื่อให้จำเลยที่ 1 จึงเป็นการใช้สิทธิฟ้องคดีคนละฐานะกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ตามฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6019/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกกล่าวบังคับจำนองและการโต้แย้งข้อผิดพลาดในการบันทึกคำเบิกความ
โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินมาชำระเพื่อเป็นการไถ่ถอนจำนองภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือนั้น นับว่าเป็นเวลาอันสมควรแล้ว ส่วนการบอกกล่าวบังคับจำนองไม่มีกฎหมายบังคับว่าเป็นการเฉพาะตัว โจทก์ชอบที่จะมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวแทนได้
จำเลยกล่าวอ้างว่า ศาลชั้นต้นไม่บันทึกคำเบิกความของโจทก์ตามที่ทนายจำเลยถามค้าน อันเป็นการกล่าวอ้างว่าศาลพิจารณาผิดระเบียบ ตามป.วิ.พ. มาตรา 27 ดังนั้นคู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าเวลาใดก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ตามวรรคสองของมาตรา 27 ดังกล่าว จำเลยมิได้ยื่นคำคัดค้านภายใน 8 วัน นับแต่วันที่จำเลยทราบ จำเลยจึงยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6019/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขึ้นเงินจำนองเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด, ดอกเบี้ยทบต้น, และการบอกกล่าวบังคับจำนองโดยทนายความ
โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินมาชำระเพื่อเป็นการไถ่ถอนจำนองภายใน15วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือนั้นนับว่าเป็นเวลาอันสมควรแล้วส่วนการบอกกล่าวบังคับจำนองไม่มีกฎหมายบังคับว่าเป็นการเฉพาะตัวโจทก์ชอบที่จะมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวแทนได้ จำเลยกล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นไม่บันทึกคำเบิกความของโจทก์ตามที่ทนายจำเลยถามด้านอันเป็นการกล่าวอ้างว่าศาลพิจารณาผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา27ดังนั้นคู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าเวลาใดก่อนที่คำพิพากษาแต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตามวรรคสองของมาตรา27ดังกล่าวจำเลยมิได้ยื่นคำคัดค้านภายใน8วันนับแต่วันที่จำเลยทราบจำเลยจึงยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5469/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอคุ้มครองชั่วคราวต้องเป็นไปตามคำฟ้อง การขอคุ้มครองเกินคำฟ้องเป็นเหตุให้ศาลยกคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาททั้ง4แปลงให้กลับไปใช้โฉนดที่ดินเดิมเลขที่3472แต่ระบุเนื้อที่เพียง17ไร่เศษมิใช่18ไร่เศษตามเนื้อที่ในโฉนดเดิมเนื่องจากที่ดินถูกการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเวนคืนแล้วจำนวน2ไร่เศษทั้งตามคำขอท้ายฟ้องก็มิได้เรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหายหรือให้จำเลยนำเงินค่าเวนคืนที่ดินจำนวน22,837,000บาทมาส่งมอบแก่โจทก์แต่อย่างใดเช่นนี้การที่โจทก์ขอคุ้มครองชั่วคราวโดยขอให้จำเลยนำเงินค่าเวนคืนที่ดินจำนวนดังกล่าวไปฝากธนาคารแล้วนำสมุดเงินฝากมาวางศาลจึงเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์เกินกว่าคำขอในคำฟ้องของโจทก์แม้ผลแห่งคดีในที่สุดโจทก์ชนะศาลก็จะพิพากษาเพิกถอนการได้มาซึ่งที่โฉนดของจำเลยตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เท่านั้นไม่มีผลบังคับไปถึงเงินค่าเวนคืนจำนวนดังกล่าวซึ่งจำเลยได้รับไปจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยตามที่โจทก์ร้องขอคุ้มครองได้กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา254(2)และมาตรา264ที่โจทก์จะขอคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวได้
of 39