คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดุสิต เพชรปลูก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 554 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2806/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษและการรวมโทษในความผิดหลายกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 และ 91
อัตราโทษสูงสุดตามที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา91กำหนดไว้ถ้าเป็นกรณีที่มีการเพิ่มโทษหรือลดโทษจะต้องนำมาใช้เมื่อมีการเพิ่มโทษหรือลดโทษแล้วมิใช่ต้องปรับบทมาตรา91เสียก่อนแล้วจึงจะเพิ่มหรือลดโทษเมื่อศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย33กระทงกระทงละ1ปีเป็นจำคุก33ปีลดโทษตามมาตรา78หนึ่งในสี่คงจำคุก24ปี9เดือนแล้วจึงนำบทบัญญัติมาตรา91(2)มาปรับเป็นว่าจำคุกจำเลย20ปีเป็นการชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2806/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ต้องกระทำหลังการตัดสินโทษแล้วเท่านั้น
อัตราโทษสูงสุดตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91กำหนดไว้นั้น ถ้าเป็นกรณีที่มีการเพิ่มโทษหรือลดโทษจะต้องนำมาใช้เมื่อมีการเพิ่มโทษหรือลดโทษแล้ว มิใช่ต้องปรับบทมาตรา 91 เสียก่อนแล้วจึงจะเพิ่มหรือลดโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2806/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษและการรวมโทษในความผิดหลายกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 และ 91
อัตราโทษสูงสุดตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91กำหนดไว้ถ้าเป็นกรณีที่มีการเพิ่มโทษหรือลดโทษจะต้องนำมาใช้ เมื่อมีการเพิ่มโทษหรือลดโทษแล้ว มิใช่ต้องปรับบทมาตรา 91 เสียก่อน แล้วจึงจะเพิ่มหรือลดโทษ เมื่อศาลชั้นต้นลงโทษ จำคุกจำเลย 33 กระทง กระทงละ 1 ปี เป็นจำคุก 33 ปีลดโทษตามมาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 24 ปี 9 เดือนแล้วจึงนำบทบัญญัติมาตรา 91(2) มาปรับเป็นว่าจำคุกจำเลย20 ปี เป็นการชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พิพาทสิทธิในที่ดิน: การทับซ้อนระหว่าง น.ส.3 กับโฉนดที่ดิน และการขอออกโฉนดใหม่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ 1 ไร่ 32 ตารางวา โจทก์ได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินพิพาทเพื่อขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยได้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน ขอให้เพิกถอนคำคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองออกทับที่ดินโฉนดที่ 972 ของจำเลยขอให้ยกฟ้องและให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองคดีจึงมีประเด็นว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกทับโฉนดที่ดินของจำเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของใคร จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในข้อเท็จจริงต้องมีทุนทรัพย์เกินสองแสนบาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ศาลฎีกายกคำร้อง
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินพิพาทของโจทก์ซึ่งมีเพียง หนังสือรับรองการทำประโยชน์เพื่อขอออกโฉนดที่ดินจำเลยคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินขอให้เพิกถอนคำคัดค้านจำเลยให้การและ ฟ้องแย้งว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองออกทับที่ดินมีโฉนดของจำเลยขอให้ยกฟ้องและเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองดังนี้คดีจึงมีประเด็นพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของใครเป็น คดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคา150,000บาทจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง เนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ 1 ไร่ 32 ตารางวาโจทก์ได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินพิพาทเพื่อขอออกโฉนดที่ดินจำเลยได้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน ขอให้เพิกถอนคำคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองออกทับที่ดินโฉนดเลขที่ 972 ของจำเลยขอให้ยกฟ้องและให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองคดีจึงมีประเด็นว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกทับโฉนดที่ดินของจำเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของใคร จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2662/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาข้อเท็จจริงเกินกำหนด – คำสั่งไม่รับฎีกา & การยื่นคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย เพราะเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 จำเลยยื่นคำร้องต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องเนื่องจากยื่นมาเกินเจ็ดวัน คำสั่งดังกล่าวนี้ย่อมเป็นที่สุดตามป.วิ.พ. มาตรา 230 วรรคสาม หากจำเลยจะกลับมาฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยก็ต้องยื่นภายใน 15 วัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบมาตรา 234 เมื่อล่วงเลยกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2662/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาไม่ชอบเนื่องจากไม่ทำตามขั้นตอนการอุทธรณ์คำสั่งศาล และฎีกาพ้นกรอบเวลาที่กำหนด
จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเท่ากับจำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยเมื่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตจึงยังมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยจำเลยต้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นไปยังศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา247ประกอบมาตรา234จำเลยจะฎีกาคำสั่งที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ฎีกาไม่ได้เพราะได้ถึงที่สุดแล้วตามมาตรา230วรรคสามและจะแปลความในฎีกาของจำเลยเป็นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาก็ไม่ได้เพราะมิได้ทำเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกาตามมาตรา252

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งให้ส่งตัวผู้ต้องหาล่าช้าไม่ถือเป็นการบอกกล่าวโดยมิได้กำหนดวันนัด ผู้ประกันภัยไม่ต้องรับผิด
โจทก์มีหนังสือแจ้งจำเลยซึ่งเป็นผู้ประกันตัวผู้ต้องหาให้ส่งตัวผู้ต้องหาวันที่4พฤศจิกายน2530เวลา8นาฬิกาแต่หนังสือดังกล่าวไปถึงจำเลยภายหลังวันเวลาตามกำหนดเพราะความผิดของโจทก์เองถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวให้ส่งตัวผู้ต้องหาโดยมิได้กำหนดวันนัดอันเป็นเหตุให้จำเลยต้องส่งตัวผู้ต้องหาแก่โจทก์โดยพลันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา203เมื่อจำเลยได้ส่งตัวผู้ต้องหาแก่โจทก์แล้วแม้จะมิได้ส่งโดยพลันก็ไม่ผิดสัญญาประกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2461/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดซ้ำ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร แม้ช่วงเวลาทับซ้อน ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นความผิดสองกรรม
จำเลยทั้งสองใช้อาคารเป็นสำนักงานเพื่อกิจการพาณิชย์กรรมโดยฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯมาตรา32วรรคสามตั้งแต่วันที่24สิงหาคม2535ถึงวันที่24พฤศจิกายน2535เป็นการกระทำความผิดกรรมหนึ่งแล้วเมื่อจำเลยทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่สั่งให้ระงับการใช้อาคารตามมาตรา44แล้วตั้งแต่วันที่9ตุลาคม2535ยังคงฝ่าฝืนใช้อาคารต่อไปอีกจนถึงวันที่24พฤศจิกายน2535ก็เป็นการกระทำผิดอีกกรรมหนึ่งต่างจากกรรมแรกการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรมต้องเรียงกระทงลงโทษแม้ระยะเวลาการกระทำความผิดทั้งสองกรรมจะซ้อนกันในช่วงหลังก็ตาม
of 56