พบผลลัพธ์ทั้งหมด 554 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์และแจ้งวันนัดให้โจทก์ร่วม ทำให้กระบวนการพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ด้วยแต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามแล้วก็สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่พนักงานอัยการและแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1โดยมิได้ส่งสำเนาอุทธรณ์และแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาดังกล่าวแก่โจทก์ร่วมด้วยทั้งศาลอุทธรณ์ภาค1ก็ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ ยกฟ้องโดยมิได้ ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่ โจทก์ร่วมเพื่อแก้อุทธรณ์ก่อนการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา200,182ประกอบมาตรา215
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโจทก์ร่วมในคดีอาญา: การรับทราบอุทธรณ์และวันนัดฟังคำพิพากษา
ในคดีที่ศาลอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้วโจทก์ร่วมและพนักงานอัยการต่างมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกันเมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้พนักงานอัยการโจทก์โดยไม่ได้สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมด้วยและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวไปจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา200อันทั้งการที่ศาลชั้นต้นมิได้แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมทราบด้วยก็ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา182ประกอบด้วยมาตรา215ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ปฏิบัติเสียให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งสำเนาคำอุทธรณ์และวันนัดฟังคำพิพากษาแก่โจทก์ร่วมที่ศาลอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วม
ในคดีที่ศาลอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้วโจทก์ร่วมและพนักงานอัยการต่างมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกัน เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้พนักงานอัยการโจทก์ โดยไม่ได้สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมด้วย และศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวไป จึงเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 200 อีกทั้งการที่ศาลชั้นต้นมิได้แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมทราบด้วยก็ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 182 ประกอบด้วยมาตรา 215 ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ปฏิบัติเสียให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1672/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเรา: พยานหลักฐานทางการแพทย์ไม่เด็ดขาด ศาลเชื่อพยานผู้เสียหาย
แพทย์ได้ตรวจช่องคลอดของผู้เสียหายพบว่ามีความผิดปกติโดยกำเนิดโดยอุจจาระจะผ่านทางช่องคลอดมากกว่าจะออกไปทางทวารหนักเพราะมีช่องกว้างกว่าจากเหตุเช่นนี้อาจจะทำให้เยื่อพรหมจารีผู้เสียหายยังอยู่คงเดิมไม่พบรอยฟกช้ำของอวัยวะเพศและไม่พบอสุจิในช่องคลอดแต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ใช่ว่าจะเป็นเครื่องยืนยันเด็ดขาดว่าจะไม่มีการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหากผู้เสียหายเบิกความโดยละเอียดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นศาลก็ฟังว่าจำเลยกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1672/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดปกติทางกายภาพกับหลักฐานการข่มขืน: การพิสูจน์ความผิดทางอาญา
ช่องคลอดของผู้เสียหายมีอาการผิดปกติโดยกำเนิด แพทย์ตรวจพบก้อนอุจจาระในช่องคลอด ซึ่งตามปกติจะมีผนังกั้นระหว่างช่องคลอดกับทวารหนักกรณีของผู้เสียหายแพทย์ผู้ตรวจร่างกายยืนยันไม่ได้ว่าจะมีการผ่านการร่วมประเวณีเพราะเป็นทางผ่านของอุจจาระ โดยอุจจาระจะผ่านทางช่องคลอดมากกว่าจะออกไปทางทวารหนัก ฉะนั้น การที่เยื่อพรหมจารียังอยู่คงเดิม ไม่พบรอยฟกช้ำของอวัยวะเพศตลอดจนไม่พบอสุจิอาจเป็นเพราะความผิดปกติของช่องคลอดของผู้เสียหาย จึงไม่ใช่ว่าจะเป็นเครื่องยืนยันเด็ดขาดว่าจะไม่มีการข่มขืนกระทำชำเรา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1618/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับให้จำเลยดำเนินการตามสัญญาซื้อขายรถยนต์และการใช้คำพิพากษาแทนเจตนา
โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยตามสัญญาซื้อขายรถยนต์โดยขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนรถยนต์แล้วใส่ชื่อโจทก์แทนหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนทำการแสดงเจตนาของจำเลยแม้โจทก์ไม่ได้มีคำขอให้บังคับจำเลยไปการยื่นคำร้องขอใดๆเพื่อขอถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนรถยนต์แล้วใส่ชื่อโจทก์ลงไปแทนก็ตามแต่ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็เพื่อต้องการให้ศาลบังคับให้จำเลยถอนชื่อออกจากทะเบียนรถยนต์ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยจะต้องไปดำเนินการเพื่อให้ถอนชื่อของจำเลยออกจากทะเบียนรถยนต์เสียก่อนมิฉะนั้นโจทก์ก็ไม่อาจให้นายทะเบียนดำเนินการใส่ชื่อโจทก์ลงไปแทนได้การที่ศาลบังคับให้จำเลยไปดำเนินการถอนชื่อออกจากทะเบียนรถยนต์แล้วให้ใส่ชื่อโจทก์แทนจึงเป็นการถูกต้องเพราะถ้าหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็จะได้ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยเป็นกรณีที่ให้คำพิพากษาและคำขอบังคับสามารถมีผลบังคับใช้ได้จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1618/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนทะเบียนรถยนต์: ศาลไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอ แม้จะสั่งให้จำเลยดำเนินการถอนชื่อออกจากทะเบียน
คำว่า"สภาพแห่งข้อหา"ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองหมายถึงเหตุหรือสิทธิของโจทก์ที่ขอให้ศาลบังคับเอาแก่จำเลยว่าโจทก์มีสิทธิหรือเหตุอย่างไรเหนือจำเลยเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1ขายรถยนต์พิพาทและส่งมอบรถแก่โจทก์โดยโจทก์ชำระราคาครบถ้วนแล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความเสียหายแก่โจทก์โดยปรากฏต่อมาว่าจำเลยที่2เป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของรถในเอกสารคู่มือจดทะเบียนรถทำให้โจทก์ไม่สามารถจดทะเบียนรถเป็นชื่อของโจทก์จึงขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่2ออกแล้วใส่ชื่อโจทก์แทนเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วหาต้องบรรยายว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำอย่างไรให้มีรายละเอียดว่านี้ไม่เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องต้องการให้ศาลบังคับให้จำเลยที่2ถอนชื่อออกจากทะเบียนรถยนต์พิพาทย่อมมีความหมายในตัวว่าจำเลยที่2ต้องไปดำเนินการดังกล่าวมิฉะนั้นโจทก์ก็ไม่อาจให้นายทะเบียนดำเนินการใส่ชื่อโจทก์ลงไปแทนการที่ศาลบังคับให้จำเลยที่2ไปดำเนินการดังกล่าวหากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาจึงไม่ใช่การพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเท็จและเบิกความเท็จเกี่ยวกับเช็ค โดยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีมูลความผิดทางอาญา
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับข้อหาความผิดฐานเบิกความเท็จว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คร่วมกับผู้มีชื่อให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวจำเลยจึงฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา3จำเลยได้เบิกความอันเป็นเท็จในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและในชั้นพิจารณาในคดีดังกล่าวว่าจำเลยได้รับเช็คจากโจทก์ทั้งสองเป็นการชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินความจริงเช็คดังกล่าวมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายเป็นเช็คที่โจทก์ทั้งสองสั่งจ่ายให้จำเลยเป็นประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่โจทก์ที่1จะซื้อจากจำเลยไม่ใช่เช็คที่ออกให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของจำเลยโดยเห็นว่าเช็คฉบับดังกล่าวเป็นเช็คที่ไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหาดังนี้แม้คดีนี้โจทก์ได้รับบรรยายฟ้องเพียงว่าข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีโดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีก่อนอย่างไรก็ตามแต่ฟ้องของโจทก์ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าข้อความเท็จที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเพราะหากเป็นความจริงดังที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์ทั้งสองออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินมิใช่การออกเช็คโดยมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายให้แก่จำเลยเพื่อประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแล้วการกระทำของโจทก์ทั้งสองอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา3และศาลก็อาจพิพากษาลงโทษโจทก์ทั้งสองตามฟ้องของจำเลยได้ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงเป็นข้อแพ้ชนะในคดีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองดังกล่าวคำเบิกความของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้อยู่ในตัวเองฟ้องของโจทก์จึงมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5) เมื่อขณะที่มอบเช็คให้จำเลยยังไม่มีวันที่สั่งจ่ายและรอยตราประทับของโจทก์ที่1การที่จำเลยนำเช็คฉบับดังกล่าวไปฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา3และเบิกความตามคำฟ้องดังกล่าวเป็นการกระทำที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าการออกเช็คดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองไม่มีมูลความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติดังกล่าวการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานเบิกความเท็จและฟ้องเท็จจากเช็คที่ยังมิได้ลงวันที่ การเบิกความเท็จเป็นข้อสำคัญในคดี
โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับข้อหาความผิดฐานเบิกความเท็จว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คร่วมกับผู้มีชื่อให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าว จำเลยจึงฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 จำเลยได้เบิกความอันเป็นเท็จในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและในชั้นพิจารณาในคดีดังกล่าวว่า จำเลยได้รับเช็คจากโจทก์ทั้งสองเป็นการชำระหนี้ค่าซื้อที่ดิน ความจริงเช็คดังกล่าวมิได้ลงวันที่สั่งจ่าย เป็นเช็คที่โจทก์ทั้งสองสั่งจ่ายให้จำเลยเป็นประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่โจทก์ที่ 1 จะซื้อจากจำเลย ไม่ใช่เช็คที่ออกให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของจำเลยโดยเห็นว่าเช็คฉบับดังกล่าวเป็นเช็คที่ไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย โจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหา ดังนี้ แม้คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องเพียงว่าข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี โดยมิได้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีก่อนอย่างไรก็ตาม แต่ฟ้องของโจทก์ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าข้อความเท็จที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ทั้งสองในข้อหาออกเช็คโดยเจตนาเพื่อไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค เพราะหากเป็นความจริงดังที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์ทั้งสองออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อที่ดิน มิใช่การออกเช็คโดยมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายให้แก่จำเลยเพื่อประกันหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแล้ว การกระทำของโจทก์ทั้งสองอาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 มาตรา 3 และศาลก็อาจพิพากษาลงโทษโจทก์ทั้งสองตามฟ้องของจำเลยได้ ข้อความที่จำเลยเบิกความจึงเป็นข้อแพ้ชนะในคดีดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองดังกล่าว คำเบิกความของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีที่เข้าใจได้อยู่ในตัวเอง ฟ้องของโจทก์จึงมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว เป็นฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
เมื่อขณะที่มอบเช็คให้จำเลยยังไม่มีวันที่สั่งจ่ายและรอยตราประทับของโจทก์ที่ 1 การที่จำเลยนำเช็คฉบับดังกล่าวไปฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 และเบิกความตามคำฟ้องดังกล่าวเป็นการกระทำที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าการออกเช็คดังกล่าวของโจทกก์ทั้งสองไม่มีมูลความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ
เมื่อขณะที่มอบเช็คให้จำเลยยังไม่มีวันที่สั่งจ่ายและรอยตราประทับของโจทก์ที่ 1 การที่จำเลยนำเช็คฉบับดังกล่าวไปฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 และเบิกความตามคำฟ้องดังกล่าวเป็นการกระทำที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าการออกเช็คดังกล่าวของโจทกก์ทั้งสองไม่มีมูลความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ค้ำประกันไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามกำหนด จึงไม่สามารถรับช่วงสิทธิจากเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองแล้วผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกันลูกหนี้ที่2เมื่อได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แล้วย่อมได้รับช่วงสิทธิการขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ที่มีต่อกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่2แต่ปรากฏว่าผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา27และมาตรา91ผู้ร้องจะอ้างว่าได้รับช่วงสิทธิและขอรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้หาได้ไม่