คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดุสิต เพชรปลูก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 554 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7358/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: การได้มาจากการส่งมอบ มิใช่จากสัญญาซื้อขาย
ที่ดินพิพาทจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขายมีแต่เพียงสิทธิครอบครอง หากมีการส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว โจทก์ก็อาจได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1377, 1378 มิใช่ได้สิทธิครอบครองตามสัญญาซื้อขาย กรณีจึงมีการสืบพยานถึงการครอบครองที่ดินพิพาทได้ มิใช่เป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารแต่อย่างใด ปัญหาข้อนี้แม้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โจทก์ก็ยกขึ้นฎีกาได้เพราะเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7313/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่ผู้รับสิทธิเรียกร้องก่อนล้มละลาย ไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.ล้มละลาย
ก่อนที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดคดีที่ ส.ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยฟ้องผู้ร้องยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล ซึ่ง ส. เจ้าหนี้ผู้ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยได้ขอหมายเรียกจำเลยมาในคดีนั้นแล้ว แต่จำเลยมิได้เข้ามาในคดี ดังนั้นส. จึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะได้รับชำระหนี้จากผู้ร้องเท่าจำนวนที่ผู้ร้องลูกหนี้เดิมค้างชำระแก่จำเลยนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 234,235 แล้ว และไม่มีหนี้ในส่วนนี้ที่ ส. จะนำไปใช้สิทธิขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยในคดีล้มละลายได้อีก เมื่อคดีแพ่งดังกล่าวได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จนมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้ผู้ร้องชำระหนี้แก่ ส.ส. จึงเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้อง ซึ่งอาจบังคับเอาแก่ผู้ร้องได้ตามกฎหมาย เมื่อผู้ร้องได้ชำระหนี้แก่ ส. ไปตามคำพิพากษาแล้วจึงเป็นการชำระหนี้ที่ได้ทำให้บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้โดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 315 การชำระหนี้ดังกล่าวหาใช่เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22 ไม่ ผู้ร้องจึงไม่ได้เป็นหนี้แก่กองทรัพย์สินของจำเลยอีกต่อไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิเรียกให้ผู้ร้องชำระหนี้จำนวนดังกล่าวซ้ำอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7313/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้โดยผู้ใช้สิทธิเรียกร้องก่อนการพิทักษ์ทรัพย์: ไม่เป็นเหตุให้เกิดหนี้ซ้ำ
ก่อนที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดคดีที่ ส. ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยฟ้องผู้ร้องยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล ซึ่ง ส. เจ้าหนี้ผู้ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยได้ขอหมายเรียกจำเลยมาในคดีนั้นแล้ว แต่จำเลยมิได้เข้ามาในคดี ดังนั้น ส. จึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะได้รับชำระหนี้จากผู้ร้องเท่าจำนวนที่ผู้ร้องลูกหนี้เดิมค้างชำระแก่จำเลยนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 234, 235 แล้ว และไม่มีหนี้ในส่วนนี้ที่ ส. จะนำไปใช้สิทธิขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยในคดีล้มละลายได้อีก เมื่อคดีแพ่งดังกล่าวได้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จนมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้ผู้ร้องชำระหนี้แก่ ส. ส. จึงเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้อง ซึ่งอาจบังคับเอาแก่ผู้ร้องได้ตามกฎหมาย เมื่อผู้ร้องได้ชำระหนี้แก่ ส. ไปตามคำพิพากษาแล้ว จึงเป็นการชำระหนี้ที่ได้ทำให้บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้โดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 315การชำระหนี้ดังกล่าวหาใช่เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483มาตรา 22 ไม่ ผู้ร้องจึงไม่ได้เป็นหนี้แก่กองทรัพย์สินของจำเลยอีกต่อไปเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิเรียกให้ผู้ร้องชำระหนี้จำนวนดังกล่าวซ้ำอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7231/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิทายาทในการเรียกร้องแบ่งมรดก: ห้ามเรียกร้องแทนผู้อื่นโดยไม่ได้รับมอบอำนาจ
บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748 และมาตรา 1749 วรรคแรก ให้สิทธิทายาทที่จะฟ้องคดีเพื่อเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกได้ตามส่วนที่ตนมีสิทธิได้รับและหากไม่ได้ฟ้องคดีเองก็มีสิทธิที่จะร้องสอดเข้าไปรักษาสิทธิของตนได้ด้วยตนเอง แต่ไม่ได้ให้สิทธิทายาทที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่นโดยไม่ได้รับมอบอำนาจ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7097/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง: มูลค่าทรัพย์สินพิพาทต่ำกว่าสองแสนบาท
การที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยขายที่ดินให้โจทก์เนื้อที่ 1 ไร่ และจำเลยบุกรุกเข้าไปตัดฟันต้นกล้วยในที่ดินของโจทก์นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทในขณะฟ้องราคาไร่ละ100,000 บาท ดังนี้ ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7097/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากราคาทรัพย์สินพิพาทไม่เกินสองแสนบาท ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง
การที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยขายที่ดินให้โจทก์เนื้อที่ 1 ไร่ และจำเลยบุกรุกเข้าไปตัดฟันต้นกล้วยในที่ดินของโจทก์นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทในขณะฟ้องราคาไร่ละ 100,000 บาท ดังนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7083/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดสิทธิถามค้านพยานในศาล: ศาลมีอำนาจจำกัดคำถามที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาท และโจทก์ต้องคัดค้านหากเห็นว่าไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นจดบันทึกไว้ว่า ทนายโจทก์ถามค้านพยานไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาท ศาลเตือนและออกข้อกำหนดให้ทนายโจทก์ถามพยานตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนด แต่ทนายโจทก์ยังถามค้านพยานไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทอยู่เช่นเดิม จึงถือว่าจบคำถามดังนี้ เมื่อทนายโจทก์ไม่ได้ร้องคัดค้าน หรือให้จดคำถามและข้อคัดค้านไว้ จึงไม่ปรากฎคำถามใดที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดไม่ให้ทนายโจทก์ถามค้านและทนายโจทก์คัดค้านคำชี้ขาดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 118 วรรคท้าย จึงไม่มีคำชี้ขาดของศาลชั้นต้นที่โจทก์จะยกขึ้นเป็นข้อฎีกาเพื่อให้ยกคำพิพากษาศาลล่างและให้พิจารณาพิพากษาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7083/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการควบคุมคำถามพยาน และผลของการไม่คัดค้านคำชี้ขาด
ในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ถ้าศาลชั้นต้นเห็นว่าคำถามใดเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี ศาลชั้นต้นมีอำนาจไม่ให้ใช้คำถามนั้น และไม่บันทึกคำพยานปากนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 118 วรรคสาม
การที่ศาลชั้นต้นได้บันทึกไว้ว่า ทนายโจทก์ทั้งสองถามค้านไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาท ศาลเตือนและออกข้อกำหนดให้ทนายโจทก์ทั้งสองถามพยานตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนด แต่ทนายโจทก์ทั้งสองยังถามค้านพยานไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทอยู่เช่นเดิม จึงถือว่าจบคำถามค้านนั้น ทนายโจทก์ทั้งสองไม่ได้ร้องคัดค้าน หรือให้จดคำถามและข้อคัดค้านไว้ เมื่อไม่ปรากฏว่าคำถามใดที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดไม่ให้ทนายโจทก์ทั้งสองถามค้าน และทนายโจทก์ทั้งสองคัดค้านคำชี้ขาดไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 118 วรรคท้าย จึงไม่มีคำชี้ขาดของศาลชั้นต้นที่โจทก์ทั้งสองจะยกขึ้นเป็นข้อฎีกาเพื่อให้ยกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง และให้พิจารณาพิพากษาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7065/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้แพคกิ้งเครดิต: หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญารับชำระหนี้มีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ออกให้แก่โจทก์พร้อมกับทำสัญญารับชำระหนี้อันเนื่องมาจากจำเลยที่ 1ขอสินเชื่อเพื่อส่งสินค้าไปขายต่างประเทศกับโจทก์โดยทำสัญญาแพคกิ้งเครดิตนั้นเป็นหนี้ตามสัญญาแพคกิ้ง เครดิตซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้ จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6996/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่การพิสูจน์หนี้และการชำระหนี้: จำเลยต้องพิสูจน์การชำระหนี้ หากอ้างว่าชำระแล้ว
ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันและจำเลยทั้งสองจดจำนองที่ดินเป็นประกัน เมื่อบอกเลิกสัญญาจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์จำนวนหนึ่ง จำเลยทั้งสองให้การรับตามคำฟ้อง แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ไปบางส่วน ยอดหนี้ที่ฟ้องไม่ถูกต้อง เป็นการรับว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปจริงและยังคงค้างชำระหนี้อยู่ โดยได้ชำระเงินไปบางส่วนเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องพิสูจน์ว่าได้ชำระหนี้โจทก์ไปแล้วเท่าไร หาใช่เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบว่า จำเลยที่ 1เป็นหนี้อยู่เท่าไรไม่ แม้โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ แต่จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว ก็ต้องฟังว่าเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้อง
of 56