คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นิวัตน์ แก้วเกิดเคน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 280 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2538 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทซื้อขายที่ดินและการฉ้อฉล: สิทธิของผู้เช่าและละเมิดจากการแจ้งข้อมูลเท็จ
คดีก่อนจำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่ 1 คดีนี้เพื่อประกอบเกษตรกรรมต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ทราบดีว่าจำเลยที่ 2 เช่าที่ดินทำกสิกรรมอยู่ และจำเลยที่ 1 มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบก่อน ทำให้จำเลยที่ 2 ขาดโอกาสที่จะซื้อที่ดินได้ก่อนตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 ขอให้บังคับโจทก์โอนขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2 ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนจึงมีว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่ 1 และมีสิทธิที่จะซื้อที่ดินก่อนโจทก์หรือไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้สมคบร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินที่จำเลยที่ 1 ขายให้โจทก์ไม่ได้ให้เช่า และจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 กับโจทก์ได้ตกลงกันให้โจทก์จ่ายค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 2 ในการออกจากที่ดินเป็นเหตุให้โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 และชำระค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 2 ไป ภายหลังจำเลยที่ 1 กลับให้ถ้อยคำเท็จต่อกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าว เป็นเหตุคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำจังหวัดมีมติให้โจทก์ขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2 และต่อมาศาลพิพากษาบังคับโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์หากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้มีว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใด ซึ่งต่างกับประเด็นในคดีก่อน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์อุทธรณ์และฎีกาเพียงขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เป็นการอุทธรณ์และฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเพียง 200บาท ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. (2) (ก) แต่โจทก์เสียมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำหรือไม่: คดีเดิมเรื่องสิทธิซื้อที่ดินเช่า กับ คดีใหม่เรื่องฉ้อฉลและละเมิดจากการซื้อขาย
จำเลยที่2เคยฟ้องขอให้โจทก์โอนขายที่ดินพิพาทให้เนื่องจากจำเลยที่1ได้ขายที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยที่2เช่าเพื่อประกอบเกษตรกรรมให้โจทก์โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่2ทราบก่อนตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากจำเลยทั้งสองร่วมกันฉ้อฉลโจทก์แจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานและทำเอกสารเท็จเป็นเหตุให้ค.ช.ก.ตำบลมีมติให้โจทก์ขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่2ทั้งที่โจทก์จำเลยทั้งสองตกลงกันให้โจทก์จ่ายค่าตอบแทนแก่จำเลยที่2และมารดาแล้วในการออกจากที่ดินพิพาทเป็นการฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำ ละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อนจึง ไม่เป็น ฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ vs. ประเด็นละเมิดต่างกัน: ศาลยกคำพิพากษาเดิมให้พิจารณาใหม่ และคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกิน
คดีก่อนจำเลยที่2คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยอ้างว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่1คดีนี้เพื่อประกอบเกษตรกรรมต่อมาจำเลยที่1ได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์โดยโจทก์ทราบดีว่าจำเลยที่2เช่าที่ดินทำกสิกรรมอยู่และจำเลยที่1มิได้แจ้งให้จำเลยที่2ทราบก่อนทำให้จำเลยที่2ขาดโอกาสที่จะซื้อที่ดินได้ก่อนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ขอให้บังคับโจทก์โอนขายที่ดินแก่จำเลยที่2ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนจึงมีว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่1และมีสิทธิที่จะซื้อที่ดินก่อนโจทก์หรือไม่ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่1และที่2ได้สมคบร่วมกันฉ้อฉลโจทก์โดยจำเลยที่1ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินที่จำเลยที่1ขายให้โจทก์ไม่ได้ให้เช่าและจำเลยที่2และจำเลยที่1กับโจทก์ได้ตกลงกันให้โจทก์จ่ายค่าตอบแทนแก่จำเลยที่2ในการออกจากที่ดินเป็นเหตุให้โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่1และชำระค่าตอบแทนแก่จำเลยที่2ไปภายหลังจำเลยที่1กลับให้ถ้อยคำเท็จต่อกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลว่าจำเลยที่2เป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าวเป็นเหตุคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำจังหวัดมีมติให้โจทก์ขายที่ดินแก่จำเลยที่2และต่อมาศาลพิพากษาบังคับโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์หากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้มีว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่และโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใดซึ่งต่างกับประเด็นในคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์อุทธรณ์และฎีกาเพียงขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีเป็นการอุทธรณ์และฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเพียง200บาทตามตาราง1ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(2)(ก)แต่โจทก์เสียมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ vs. ประเด็นละเมิดต่างกัน: ศาลฎีกาแก้ให้พิจารณาใหม่ ชดใช้ค่าขึ้นศาลเกิน
คดีก่อนจำเลยที่ 2 คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่ 1คดีนี้เพื่อประกอบเกษตรกรรมต่อมาจำเลยที่ 1ได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ทราบดีว่าจำเลยที่ 2เช่าที่ดินทำกสิกรรมอยู่ และจำเลยที่ 1 มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบก่อนทำให้จำเลยที่ 2ขาดโอกาสที่จะซื้อที่ดินได้ก่อนตาม พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 ขอให้บังคับโจทก์โอนขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2 ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนจึงมีว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่ 1 และมีสิทธิที่จะซื้อที่ดินก่อนโจทก์หรือไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ได้สมคบร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินที่จำเลยที่ 1 ขายให้โจทก์ไม่ได้ให้เช่า และจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 กับโจทก์ได้ตกลงกันให้โจทก์จ่ายค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 2ในการออกจากที่ดินเป็นเหตุให้โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 และชำระค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 2 ไปภายหลังจำเลยที่ 1 กลับให้ถ้อยคำเท็จต่อกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าว เป็นเหตุคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำจังหวัดมีมติให้โจทก์ขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2 และต่อมาศาลพิพากษาบังคับโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์หากไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้มีว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใดซึ่งต่างกับประเด็นในคดีก่อน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์อุทธรณ์และฎีกาเพียงขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เป็นการอุทธรณ์และฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (2)(ก) แต่โจทก์เสียมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากการขุดดิน – ความรับผิดของผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง – การแก้ไขสภาพเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและจำเลยร่วมก่อสร้างเขื่อนเพื่อกั้นดินในเขตติดต่อที่ดินโจทก์จำเลยมิให้พังทลายลงโดยไม่ได้ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายซึ่งเกิดจากการละเมิดโดยตรง จึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา448 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีอายุความเพียง 1 ปี และในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงใช้อายุความตามหลักทั่วไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30ซึ่งมีอายุความ 10 ปี
การที่ที่ดินของโจทก์พังทลายลงเกิดจากการกระทำของคนงานของจำเลยร่วมที่ขุดดินใกล้เขตที่ดินของโจทก์มากเกินไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเท่าที่ควร ถือเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งจำเลยร่วมจะต้องเป็นผู้รับผิด จำเลยผู้ว่าจ้างเป็นผู้กำหนดให้จำเลยร่วมผู้รับจ้างว่าจะขุดบริเวณใดเห็นได้ว่าจำเลยร่วมได้ทำตามคำสั่งของจำเลย แม้จะเป็นการจ้างทำของ จำเลยก็จะต้องร่วมรับผิดด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 428
โจทก์ขอให้สร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นดินยาว 180 เมตรก็เพื่อต้องการที่จะให้ที่ดินอยู่ในสภาพเดิมไม่พังทลายลงไปในที่ดินของจำเลยเท่านั้นดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการสร้างเขื่อนเกินความจำเป็น จึงได้ใช้วิธีถมดินแล้วบดอัดให้แน่นเพื่อป้องกันมิให้ที่ดินของโจทก์พังทลายลงไปในที่ดินของจำเลย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจทำได้ ไม่เกินคำขอของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิดและการพิสูจน์ความเสียหายจากดินพังทลาย
คนงานของ จำเลยร่วมซึ่งจำเลยได้ว่าจ้างให้ขุดดินในที่ดินของจำเลยด้านที่ติดกับที่ดินของโจทก์เพื่อนำออกไปยังที่อื่นขุดดินตามบริเวณที่จำเลยกำหนดใกล้เขตที่ดินของโจทก์มากเกินไปเป็นเหตุให้ดินในเขตที่ดินของโจทก์พังทลายลงไปในที่ดินของจำเลยเป็นการ ละเมิดซึ่งจำเลยร่วมต้องรับผิดและจำเลยต้องร่วมรับผิดด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา428โดย สิทธิเรียกร้อง ค่าเสียหายมีอายุความ1ปีตามมาตรา448ส่วนการฟ้องขอให้จำเลยและจำเลยร่วมก่อสร้างเขื่อนเพื่อกั้นดินในเขตติดต่อที่ดินโจทก์จำเลยมิให้พังทลายลงไม่มีกฎหมายบัญญัติ อายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ10ปีตามมาตรา193/30 โจทก์ขอให้สร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นดินไม่ให้พังทลายลงเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าการสร้างเขื่อนเกินความจำเป็นจึงใช้วิธีถมดินแล้วบดอัดให้แน่นเพื่อป้องกันมิให้ที่ดินของโจทก์พังทลายลงไปในที่ดินของจำเลยย่อมมีอำนาจทำได้ไม่เกินคำขอ โจทก์มิได้นำสืบว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนที่พังทลายลงไปอย่างไรจำนวนเท่าใดจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ขาดประโยชน์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากละเมิดและการขุดดินใกล้เขตที่ดิน การสร้างเขื่อนหรือถมดินเพื่อแก้ไขที่ดินพังทลาย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยก่อสร้างเขื่อนเพื่อกั้นดินในเขตติดต่อที่ดินโจทก์จำเลยมิให้พังทลายลงโดยไม่ได้ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายซึ่งเกิดจากการละเมิดโดยตรงจึงไม่อยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448วรรคหนึ่งซึ่งมีอายุความเพียง1ปีและในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงใช้อายุความตามหลักทั่วไปตามมาตรา193/30ซึ่งมีอายุความ10ปี โดยหลักทั่วไปแล้วผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้างเว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำหรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้หรือในการเลือกหาผู้รับจ้างดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา428เมื่อจำเลยเป็นผู้กำหนดว่าจะขุดดินบริเวณใดและจำเลยร่วมได้ทำตามคำสั่งของจำเลยเป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์พังทลายลงจำเลยจึงต้องร่วมรับผิดด้วย โจทก์ฟ้องขอให้สร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นดินยาว180เมตรความประสงค์ของโจทก์ต้องการที่จะให้ที่ดินอยู่ในสภาพเดิมไม่พังทลายลงไปในที่ดินของจำเลยเท่านั้นซึ่งการสร้างเขื่อนก็เป็นวิธีการหนึ่งที่โจทก์เห็นว่าจะกั้นดินไม่ให้พังทลายลงแต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการสร้างเขื่อนเกินความจำเป็นจึงได้ใช้วิธีถมดินแล้วบดอัดให้แน่นเพื่อป้องกันมิให้ที่ดินของโจทก์พังทลายลงไปในที่ดินของจำเลยนั้นศาลอุทธรณ์มีอำนาจทำได้ไม่เกินคำขอของโจทก์แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ถมดินระยะยาวเกินกว่า180เมตรเป็นการเกินคำขอของโจทก์จึงไม่อาจทำได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งสำเนาคำอุทธรณ์และวันนัดฟังคำพิพากษาแก่โจทก์ร่วมที่ศาลอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วม
ในคดีที่ศาลอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้วโจทก์ร่วมและพนักงานอัยการต่างมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกัน เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้พนักงานอัยการโจทก์ โดยไม่ได้สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมด้วย และศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวไป จึงเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 200 อีกทั้งการที่ศาลชั้นต้นมิได้แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมทราบด้วยก็ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 182 ประกอบด้วยมาตรา 215 ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ปฏิบัติเสียให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์และแจ้งวันนัดให้โจทก์ร่วม ทำให้กระบวนการพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ด้วยแต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามแล้วก็สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่พนักงานอัยการและแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1โดยมิได้ส่งสำเนาอุทธรณ์และแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาดังกล่าวแก่โจทก์ร่วมด้วยทั้งศาลอุทธรณ์ภาค1ก็ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ ยกฟ้องโดยมิได้ ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่ โจทก์ร่วมเพื่อแก้อุทธรณ์ก่อนการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา200,182ประกอบมาตรา215

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิโจทก์ร่วมในคดีอาญา: การรับทราบอุทธรณ์และวันนัดฟังคำพิพากษา
ในคดีที่ศาลอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้วโจทก์ร่วมและพนักงานอัยการต่างมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกันเมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้พนักงานอัยการโจทก์โดยไม่ได้สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมด้วยและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวไปจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา200อันทั้งการที่ศาลชั้นต้นมิได้แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมทราบด้วยก็ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา182ประกอบด้วยมาตรา215ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ปฏิบัติเสียให้ถูกต้อง
of 28