คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นิวัตน์ แก้วเกิดเคน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 280 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเลยการพิจารณาคำร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิและฟ้องร้องได้
โจทก์ยื่นคำร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวต่อจำเลยซึ่งเป็นนายทะเบียนคนต่างด้าว เวลาล่วงเลยมา 2 ปีเศษ แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พิจารณาคำร้องของโจทก์ตามอำนาจหน้าที่แต่อย่างใด การที่จำเลยจะต้องส่งคำร้องไปให้กองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรตรวจสอบก่อนตามระเบียบ ก็เป็นเรื่องภายในของจำเลย การปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปถึง 2 ปีเศษ โดยไม่ได้ดำเนินการอย่างใดในเรื่องนี้นั้น เป็นการชี้ชัดให้เห็นถึงความละเลยเพิกเฉยไม่ติดตามดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ ก่อให้เกิดความทุกข์ร้อนและเสียหายแก่โจทก์ ถือได้โดยปริยายว่าจำเลยปฏิเสธที่จะออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์ เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์มีอำนาจฟ้อง
ตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2493เป็นเพียงบทบังคับให้ผู้เสียสัญชาติไทยต้องไปร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวจากนายทะเบียนท้องที่ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่าตนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทย มิฉะนั้นจะต้องมีความผิดและต้องรับโทษทางอาญาตามมาตรา 21 เท่านั้นการร้องขอเมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวมิได้ทำให้เสียสิทธิอันมีอยู่แล้วแต่อย่างใด โจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเลยหน้าที่นายทะเบียนคนต่างด้าว, การปฏิเสธโดยปริยาย, สิทธิในการขอใบสำคัญ
โจทก์ยื่นคำร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวต่อจำเลยซึ่งเป็นนายทะเบียนคนต่างด้าวเวลาล่วงเลยมา2ปีเศษแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พิจารณาคำร้องของโจทก์ตามอำนาจหน้าที่แต่อย่างใดการที่จำเลยจะต้องส่งคำร้องไปให้กองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรตรวจสอบก่อนตามระเบียบก็เป็นเรื่องภายในของจำเลยการปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปถึง2ปีเศษโดยไม่ได้คัดค้านดำเนินการอย่างใดในเรื่องนี้นั้นเป็นการชี้ชัดให้เห็นถึงความละเลยเพิกเฉยไม่ติดตามดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ก่อให้เกิดความทุกข์ร้อนและเสียหายแก่โจทก์ถือได้โดยปริยายว่าจำเลยปฏิเสธที่จะออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้โจทก์เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์มีอำนาจฟ้อง ตามมาตรา8แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าวพ.ศ.2493เป็นเพียงบทบังคับให้ผู้เสียสัญชาติไทยต้องไปร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวจากนายทะเบียนท้องที่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่าตนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทยมิฉะนั้นจะต้องมีความผิดและต้องรับโทษทางอาญาตามมาตรา21เท่านั้นการ้องขอเมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวมิได้ทำให้เสียสิทธิอันมีอยู่แล้วแต่อย่างใดโจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตยื่นคำให้การและการไต่สวนข้อเท็จจริงว่าจำเลยทราบการถูกฟ้องหรือไม่ ศาลต้องไต่สวนก่อน
การที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การโดยอ้างว่าขณะที่มีการปิดสำเนาคำฟ้องที่ภูมิลำเนาของจำเลยจำเลยไปพักอาศัยอยู่กับบุตรที่ต่างจังหวัดนั้นยังไม่พอฟังว่าจำเลยจงใจจะไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดการที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยไม่ได้ไต่สวนให้ได้ความว่าจำเลยทราบว่าตนถูกฟ้องแล้วไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดก่อนจึงไม่ชอบและการที่ศาลอุทธรณ์ภาค1วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งก็เป็นการไม่ชอบเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดยื่นคำให้การ: จำเลยต้องทราบการฟ้องและมีเจตนาไม่ยื่น
คำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยอ้างว่าขณะที่มีการปิดสำเนาคำฟ้องที่ภูมิลำเนาของจำเลยนั้น จำเลยไปพักอาศัยอยู่กับบุตรที่ต่างจังหวัด การพิจารณาว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าจำเลยทราบว่าตนถูกฟ้องตามหมายเรียกให้ยื่นคำให้การแล้วไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องโดยไม่ได้ทำการไต่สวนให้สิ้นกระแสความเสียก่อนเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินมัดจำกับเบี้ยปรับมีลักษณะต่างกัน ศาลไม่มีอำนาจลดเงินมัดจำ
เงินมัดจำกับเงินเบี้ยปรับมีลักษณะคนละอย่างไม่เหมือนกันมัดจำจึงไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ศาลจึงไม่มีอำนาจลดเงินมัดจำลงได้อย่างเบี้ยปรับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินมัดจำกับการริบตามสัญญาซื้อขาย ศาลไม่มีอำนาจลดจำนวนมัดจำเหมือนเบี้ยปรับ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา377เงินมัดจำเป็นเงินประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญาซึ่งตามมาตรา378กำหนดไว้ว่าหากผู้วางมัดจำผิดสัญญาก็ให้ริบหากผู้รับมัดจำผิดสัญญาก็ให้ส่งคืนเว้นแต่จะได้ตกลงไว้เป็นอย่างอื่นทั้งนี้มิได้ถือเอาความเสียหายของผู้รับมัดจำมาเป็นหลักประกอบการพิจารณาในการริบมัดจำส่วนเงินเบี้ยปรับตามมาตรา379เป็นจำนวนค่าเสียหายที่คู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้าในเมื่อมีการไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องตามสัญญาและการริบเบี้ยปรับมาตรา383ให้ถือเอาทางได้ทางเสียของเจ้าหนี้เป็นหลักในการพิจารณาว่าจะริบเบี้ยปรับทั้งหมดหรือจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรจึงเห็นได้ว่าเงินมัดจำกับเงินเบี้ยปรับมีลักษณะไม่เหมือนกันมัดจำจึงไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับศาลจึงไม่มีอำนาจลดเงินมัดจำลงได้อย่างเบี้ยปรับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินมัดจำกับเบี้ยปรับมีความแตกต่างกัน ศาลไม่มีอำนาจลดเงินมัดจำ
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 377 เงินมัดจำเป็นเงินประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญา ซึ่งตามมาตรา 378 กำหนดไว้ว่าหากผู้วางมัดจำผิดสัญญาก็ให้ริบหากผู้รับมัดจำผิดสัญญาก็ให้ส่งคืน เว้นแต่จะได้ตกลงไว้เป็นอย่างอื่น ทั้งนี้มิได้ถือเอาความเสียหายของผู้รับมัดจำมาเป็นหลักประกอบการพิจารณาในการริบมัดจำส่วนเงินเบี้ยปรับตามมาตรา 379 เป็นจำนวนค่าเสียหายที่คู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้าในเมื่อมีการไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องตามสัญญา และการริบเบี้ยปรับ มาตรา 383 ให้ถือเอาทางได้ทางเสียของเจ้าหนี้เป็นหลักในการพิจารณาว่าจะริบเบี้ยปรับทั้งหมดหรือจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควร จึงเห็นได้ว่าเงินมัดจำกับเงินเบี้ยปรับมีลักษณะไม่เหมือนกัน มัดจำจึงไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับศาลจึงไม่มีอำนาจลดเงินมัดจำลงได้อย่างเบี้ยปรับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 631/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้เยาว์และการไม่กระทบคำพิพากษา ศาลฎีกาไม่ต้องแก้ไข
ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโดยมิได้ให้ผู้แทนโดยชอบธรรมจัดการแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา5(1)นั้นมิได้เป็นไปตามบทบังคับอันว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมายแต่เมื่อโจทก์ร่วมมิได้ฎีกาและคดีไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่เปลี่ยนแปลงไปจึงไม่จำต้องสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 631/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้เยาว์เป็นโจทก์ร่วม – ความสามารถของบุคคล – ผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโดยมิได้ให้ผู้แทนโดยชอบธรรมจัดการแทน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ-อาญา มาตรา 5 (1) นั้น มิได้เป็นไปตามบทบังคับอันว่าด้วยความสามารถของบุคคลตามกฎหมาย แต่เมื่อโจทก์ร่วมมิได้ฎีกาและคดีไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลฎีกาเกี่ยวกับปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่เปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 574/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องต้องมีนิติสัมพันธ์กับไม้พิพาท แม้มีค่าใช้จ่ายและคำพิพากษาไม่ริบไม้ก็ไม่ทำให้เป็นเจ้าของได้
โจทก์เป็นผู้เช่ากิจการบริษัทโรงเลื่อยจักร บ. จำกัดซึ่งรับจ้างตัดและขนไม้ให้แก่บริษัท ย. จำกัดผู้รับสัมปทานทำไม้จากจำเลยโจทก์มีพันธะที่จะต้องปฏิบัติต่อบริษัท ย. จำกัดผู้รับสัมปทานตามสัญญาจ้างเท่านั้นไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆกับจำเลยทั้งสองแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการตัดไม้ของกลางและมีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลฎีกาไม่ริบไม้ของกลางก็จะถือว่าไม้ของกลางเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หาได้ไม่โจทก์จึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้ชำระเงินค่าขายไม้ของกลางให้แก่โจทก์ได้
of 28