พบผลลัพธ์ทั้งหมด 178 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยวิกลจริตไม่สามารถต่อสู้คดีได้ กระบวนพิจารณาเดิมไม่ชอบ ศาลฎีกาสั่งดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและพิพากษาลงโทษจำเลยมาโดยมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 เสียก่อน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2),225 ในอันที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงคำให้การหลังศาลชั้นต้นพิพากษา เป็นการต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
จำเลยที่ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงคำให้การเดิมของตนย่อมทำได้ด้วยการขอแก้หรือเพิ่มคำให้การ ซึ่งจะต้องยื่นคำร้องก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แต่จำเลยเพิ่งยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรคสอง ดังนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้สั่งคำร้องดังกล่าวก็หาทำให้การพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ต้องเสียไปไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงคำให้การในชั้นอุทธรณ์ต้องยื่นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา หากยื่นหลังถือเป็นข้อจำกัดตามกฎหมาย
จำเลยที่ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงคำให้การเดิมของตนย่อมทำได้ด้วยการขอแก้หรือเพิ่มคำให้การ ซึ่งจะต้องยื่นคำร้องก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แต่จำเลยเพิ่งยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรคสอง ดังนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้สั่งคำร้องดังกล่าวก็หาทำให้การพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ต้องเสียไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3792-3793/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฉ้อโกงและการใช้เช็ค ความรับผิดของตัวการและผู้ร่วมกระทำผิด
คำฟ้องของโจทก์บรรยายถึงสถานที่เกิดการกระทำความผิดในข้อหาฉ้อโกง โดยระบุชื่อแขวงและเขตหลายแห่งในกรุงเทพมหานครรวมกันมาและระบุด้วยว่าเกี่ยวพันกันนั้น สถานที่ที่จำเลยได้กล่าวหลอกลวงผู้เสียหายย่อมหมายถึงสถานที่ทำงานของผู้เสียหาย ซึ่งมีที่อยู่ตามแขวงและเขตในกรุงเทพมหานครจำเลยมิได้หลงต่อสู้แต่ประการใด ฟ้องโจทก์ที่บรรยายเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุมาเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจได้ดี จึงเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฉ้อโกงโดยอาศัยเหตุว่าฟ้องเคลือบคลุม โจทก์อุทธรณ์ว่าได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนชอบแล้วจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว และข้อเท็จจริงในสำนวนเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงในความผิดฐานฉ้อโกงไปเสียเองได้
จำเลยวางแผนหรือสร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโดยนำเช็คส่วนตัวของจำเลยมาแลกเงินสดจากผู้เสียหายก่อน ต่อมานำเช็คที่บุคคลอื่นลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมาขอแลกโดยหลอกลวงว่าผู้สั่งจ่ายมีฐานะดีในตอนแรก ๆ จำนวนเงินตามเช็คไม่สูงนักและเรียกเก็บเงินได้หมดเนื่องจากจำเลยออกเงินให้บุคคลเหล่านั้นไปเปิดบัญชีไว้ตามธนาคารต่าง ๆ และให้เจ้าของบัญชีลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คมอบแก่จำเลยไว้ จำเลยนำเช็คเหล่านี้มากรอกข้อความแล้วนำไปขอแลกเงินจากผู้เสียหาย เมื่อเช็คถึงกำหนดสั่งจ่ายจำเลยก็นำเงินของตนไปเข้าบัญชีของบุคคลดังกล่าวเพื่อให้เช็คเรียกเก็บเงินได้ การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยการหลอกลวงดังกล่าวผู้เสียหายหลงเชื่อและได้มอบเงินแก่จำเลยไป การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว
เช็คที่โจทก์นำมาฟ้องมีจำนวนมากถึง 38 ฉบับ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่าเช็คแต่ละฉบับนั้นเป็นของธนาคารใดพร้อมกับระบุสาขาของธนาคารอันถือว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุที่ธนาคารแห่งนั้นปฏิเสธการจ่ายเงินไว้ด้วยแล้วหาจำเป็นที่จะต้องระบุแขวงและเขตอีกไม่ เพราะการที่โจทก์นำเอาชื่อแขวงและเขตที่เกิดการกระทำผิดไปรวมไว้ในตอนท้ายเพื่อบอกสถานที่เกิดเหตุย่อมเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจได้ดีแล้ว และจำเลยก็ไม่ได้หลงต่อสู้คดีแต่ประการใด ฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คจึงไม่เคลือบคลุม
แม้จำเลยจะมิได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค แต่จำเลยเป็นผู้จัดการออกเงินให้เจ้าของบัญชีนำไปขอเปิดบัญชีตามธนาคารต่าง ๆและสั่งให้เจ้าของบัญชีลงลายมือชื่อในเช็คมอบแก่จำเลยไว้จำเลยจะกรอกรายการในเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากผู้เสียหาย จำเลยจึงเป็นตัวการในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา3 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 นั้นหาจำเป็นต้องกระทำโดยบุคคลคนเดียวไม่ บุคคลหลายคนอาจสมคบร่วมกันกระทำผิดได้
โจทก์ร่วมฝากเช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือให้ ก.ไปช่วยเรียกเก็บเงินการที่ ก. นำเช็คนั้นไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจึงเป็นการทำแทนโจทก์ร่วมเพราะโจทก์ร่วมมิได้มีเจตนาที่จะโอนเช็คไปยัง ก.แต่ประการใดโจทก์ร่วมจึงยังเป็นผู้ทรงอยู่ ดังนี้เมื่อเช็คฉบับดังกล่าวถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 123 บัญญัติไว้ใจความว่า คำร้องทุกข์นั้นต้องปรากฏชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องทุกข์ลักษณะแห่งความผิด พฤติการณ์ต่าง ๆ ที่ความผิดนั้นได้กระทำลง ความเสียหายที่ได้รับและชื่อหรือรูปพรรณของผู้กระทำผิดเท่าที่จะบอกได้ ดังนี้เมื่อผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยที่ 1 กับพวกได้กระทำผิดต่อโจทก์ร่วม (ผู้เสียหาย)เมื่อปรากฏต่อมาว่าพวกของจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 ร่วมอยู่ด้วย ก็ถือว่าได้มีการร้องทุกข์สำหรับจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาฉ้อโกงโดยอาศัยเหตุว่าฟ้องเคลือบคลุม โจทก์อุทธรณ์ว่าได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนชอบแล้วจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว และข้อเท็จจริงในสำนวนเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงในความผิดฐานฉ้อโกงไปเสียเองได้
จำเลยวางแผนหรือสร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโดยนำเช็คส่วนตัวของจำเลยมาแลกเงินสดจากผู้เสียหายก่อน ต่อมานำเช็คที่บุคคลอื่นลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมาขอแลกโดยหลอกลวงว่าผู้สั่งจ่ายมีฐานะดีในตอนแรก ๆ จำนวนเงินตามเช็คไม่สูงนักและเรียกเก็บเงินได้หมดเนื่องจากจำเลยออกเงินให้บุคคลเหล่านั้นไปเปิดบัญชีไว้ตามธนาคารต่าง ๆ และให้เจ้าของบัญชีลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คมอบแก่จำเลยไว้ จำเลยนำเช็คเหล่านี้มากรอกข้อความแล้วนำไปขอแลกเงินจากผู้เสียหาย เมื่อเช็คถึงกำหนดสั่งจ่ายจำเลยก็นำเงินของตนไปเข้าบัญชีของบุคคลดังกล่าวเพื่อให้เช็คเรียกเก็บเงินได้ การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยการหลอกลวงดังกล่าวผู้เสียหายหลงเชื่อและได้มอบเงินแก่จำเลยไป การกระทำของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว
เช็คที่โจทก์นำมาฟ้องมีจำนวนมากถึง 38 ฉบับ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่าเช็คแต่ละฉบับนั้นเป็นของธนาคารใดพร้อมกับระบุสาขาของธนาคารอันถือว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุที่ธนาคารแห่งนั้นปฏิเสธการจ่ายเงินไว้ด้วยแล้วหาจำเป็นที่จะต้องระบุแขวงและเขตอีกไม่ เพราะการที่โจทก์นำเอาชื่อแขวงและเขตที่เกิดการกระทำผิดไปรวมไว้ในตอนท้ายเพื่อบอกสถานที่เกิดเหตุย่อมเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจได้ดีแล้ว และจำเลยก็ไม่ได้หลงต่อสู้คดีแต่ประการใด ฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คจึงไม่เคลือบคลุม
แม้จำเลยจะมิได้เป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค แต่จำเลยเป็นผู้จัดการออกเงินให้เจ้าของบัญชีนำไปขอเปิดบัญชีตามธนาคารต่าง ๆและสั่งให้เจ้าของบัญชีลงลายมือชื่อในเช็คมอบแก่จำเลยไว้จำเลยจะกรอกรายการในเช็คแล้วนำไปแลกเงินสดจากผู้เสียหาย จำเลยจึงเป็นตัวการในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา3 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 นั้นหาจำเป็นต้องกระทำโดยบุคคลคนเดียวไม่ บุคคลหลายคนอาจสมคบร่วมกันกระทำผิดได้
โจทก์ร่วมฝากเช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือให้ ก.ไปช่วยเรียกเก็บเงินการที่ ก. นำเช็คนั้นไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจึงเป็นการทำแทนโจทก์ร่วมเพราะโจทก์ร่วมมิได้มีเจตนาที่จะโอนเช็คไปยัง ก.แต่ประการใดโจทก์ร่วมจึงยังเป็นผู้ทรงอยู่ ดังนี้เมื่อเช็คฉบับดังกล่าวถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 123 บัญญัติไว้ใจความว่า คำร้องทุกข์นั้นต้องปรากฏชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องทุกข์ลักษณะแห่งความผิด พฤติการณ์ต่าง ๆ ที่ความผิดนั้นได้กระทำลง ความเสียหายที่ได้รับและชื่อหรือรูปพรรณของผู้กระทำผิดเท่าที่จะบอกได้ ดังนี้เมื่อผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยที่ 1 กับพวกได้กระทำผิดต่อโจทก์ร่วม (ผู้เสียหาย)เมื่อปรากฏต่อมาว่าพวกของจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 ร่วมอยู่ด้วย ก็ถือว่าได้มีการร้องทุกข์สำหรับจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ร่วมกันของจำเลยหลายคน: ศาลต้องพิจารณาคดีทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์โดยในแผ่นแรกของอุทธรณ์ระบุว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ยื่นอุทธรณ์ และในท้ายอุทธรณ์ก็ลงลายมือชื่อจำเลยที่ 3 เพียงผู้เดียวในช่องผู้อุทธรณ์ แต่ในคำบรรยายฟ้องอุทธรณ์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิด และจำเลยทั้งสี่ได้ลงลายมือชื่อไว้ด้วยกันในตอนท้ายเมื่อสิ้นข้อความที่อุทธรณ์เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 จึงเป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา แม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ร่วมกันของจำเลยหลายคน ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์โดยในแผ่นแรกของอุทธรณ์ระบุว่าจำเลยที่3เป็นผู้ยื่นอุทธรณ์และในท้ายอุทธรณ์ก็ลงลายมือชื่อจำเลยที่3เพียงผู้เดียวในช่องผู้อุทธรณ์แต่ในคำบรรยายฟ้องอุทธรณ์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิดและจำเลยทั้งสี่ได้ลงลายมือชื่อไว้ด้วยกันในตอนท้ายเมื่อสิ้นข้อความที่อุทธรณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันอุทธรณ์การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีเฉพาะจำเลยที่3จึงเป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาแม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหานี้ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1344/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อหาจากลักทรัพย์เป็นรับของโจรโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องข้อหาฐานรับของโจร จำเลยอุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้องข้อหาฐานลักทรัพย์ ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยคือจำเลยได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์แต่ผิดฐานรับของโจร จึงมิชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยมีสิทธิฎีกาขอให้ยกฟ้องข้อหาฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องจำเลยในข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1196-1197/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงหลังศาลแขวงยกฟ้อง: ศาลฎีกายกเพราะขัด พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง
คดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลแขวงพิพากษายกฟ้องแล้วจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยรับเงินจากลูกค้าแทนโจทก์แล้วมิได้ส่งมอบเงินแก่โจทก์เท่ากับจำเลยครอบครองแทนโจทก์แล้วจำเลยทุจริตเอาไปเสียไม่นำส่งแก่โจทก์นั้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้เก็บเงินและครอบครองเงินแทนโจทก์ย่อมเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงแม้จะเป็นการวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ก็เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงฟังยุติแล้วจำเลยไม่ได้ครอบครองเงินแทนโจทก์และเบียดบังเงินของโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยที่มิชอบแม้ว่าจำเลยมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอ้างอิงศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและจำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต่อไปมิได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1196-1197/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงหลังศาลแขวงยกฟ้องมิได้ ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลแขวงพิพากษายกฟ้องแล้วจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยรับเงินจากลูกค้าแทนโจทก์แล้วมิได้ส่งมอบเงินแก่โจทก์ เท่ากับจำเลยครอบครองแทนโจทก์แล้วจำเลยทุจริตเอาไปเสียไม่นำส่งแก่โจทก์นั้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้เก็บเงินและครอบครองเงินแทนโจทก์ ย่อมเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะเป็นการวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ก็เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงฟังยุติแล้วจำเลยไม่ได้ครอบครองเงินแทนโจทก์และเบียดบังเงินของโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยที่มิชอบ แม้ว่าจำเลยมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอ้างอิง ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและจำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต่อไปมิได้
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยรับเงินจากลูกค้าแทนโจทก์แล้วมิได้ส่งมอบเงินแก่โจทก์ เท่ากับจำเลยครอบครองแทนโจทก์แล้วจำเลยทุจริตเอาไปเสียไม่นำส่งแก่โจทก์นั้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์ ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้เก็บเงินและครอบครองเงินแทนโจทก์ ย่อมเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะเป็นการวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ก็เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงฟังยุติแล้วจำเลยไม่ได้ครอบครองเงินแทนโจทก์และเบียดบังเงินของโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยที่มิชอบ แม้ว่าจำเลยมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอ้างอิง ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและจำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต่อไปมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาอุทธรณ์ไม่ครบถ้วน ศาลฎีกาย้อนสำนวนเพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยตามกระบวนการ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยไม่เต็มตามฟ้องโจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาเฉพาะอุทธรณ์ของโจทก์เพียงฝ่ายเดียวมิได้พิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาและเพื่อให้การวินิจฉัยความผิดของจำเลยเป็นตามลำดับศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา208(2),225.