คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ธีระจิต ไชยาคำ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 391 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7501/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจซื้อขายหุ้นและการบังคับชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้
ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟ้องซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 44 วรรคแรก การตั้งบุคคลใดเป็นตัวแทนหรือนายหน้าของบริษัทหลักทรัพย์ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน หมายความถึงเฉพาะการตั้งตัวแทนหรือนายหน้าเพื่อให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์เท่านั้นที่จะต้องขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน ส่วนการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแม้จะถือว่าเป็นการตั้งตัวแทนก็ไม่ต้องขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยเพราะการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นอำนาจทั่วไปที่บุคคลมีอยู่ตามกฎหมาย การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่เรื่องซื้อขายหุ้นตามปกติแต่เป็นการซื้อขายหุ้นในกรณีพิเศษจึงไม่จำต้องปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 แต่อย่างใดและตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517มาตรา 20 บัญญัติว่า การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ให้กระทำได้เฉพาะหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์อนุญาตและโดยสมาชิกเท่านั้น แสดงว่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์กระทำได้เฉพาะสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์เท่านั้นซึ่งจำเลยก็ทราบดีแต่ก็ยังยินยอมแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อหรือขายหลักทรัพย์เมื่อจำเลยสมัครใจเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด จะอ้างว่าถูกเอาเปรียบไม่ได้ ตามบันทึกข้อตกลงมีการคิดคำนวณหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์และมีการนำเงินที่จำเลยวางไว้เป็นประกันพร้อมดอกเบี้ยกับมูลค่าหุ้นที่จำเลยมีอยู่มาตีราคานำมาหักชำระหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์และมีการตกลงผ่อนชำระกันไว้ แสดงให้เห็นว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาให้เอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้รับสภาพหนี้มีผลผูกพันใช้บังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า เอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้ตามกฎหมาย จำเลยไม่เป็นหนี้โจทก์จำเลยไม่ต้องรับผิดแสดงว่าจำเลยปฏิเสธไม่ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ทั้งหมดถือได้ว่าจำเลยไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาตามหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดได้ และเมื่อจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดในการชำระหนี้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยตามหนังสือรับสภาพหนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7332/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทสัญญาตัวแทน: ทุนทรัพย์, ข้อเท็จจริง, และขอบเขตบังคับใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 798
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง200,000 บาท หาใช่จำนวน 238,568.49 บาท ดังที่จำเลยระบุจำนวนทุนทรัพย์มาหน้าคำฟ้องฎีกาจำเลยไม่ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง (อ้างฎีกาที่ 1926/2537 ประชุมใหญ่)
จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อที่ดินและอาคารพิพาทเพื่อตนเองไม่ได้เป็นตัวแทนโจทก์ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท จำเลยได้กระทำไปในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ ฎีกาจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 เป็นบทบังคับเพื่อความสมบูรณ์ของสัญญาที่ตัวแทนกระทำต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น มิได้ใช้บังคับสำหรับข้อพิพาทระหว่างตัวการกับตัวแทนด้วยกัน เมื่อมูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นมูลหนี้ตามสัญญาตัวแทน จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของบทกฎหมายดังกล่าว ระหว่างโจทก์จำเลยไม่จำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7332/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเป็นตัวแทนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีผลผูกพัน และจำกัดสิทธิในการฎีกาเรื่องข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง ทุกทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง200,000 บาท หาใช่จำนวน 238,568.49 บาท ดังที่จำเลยระบุจำนวนทุนทรัพย์มาหน้าคำฟ้องฎีกาจำเลยไม่ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง (อ้างฎีกาที่ 1926/2527 ประชุมใหญ่) จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อที่ดินและอาคารพิพาทเพื่อตนเองไม่ได้เป็นตัวแทนโจทก์ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทจำเลยได้กระทำไปในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ ฎีกาจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 เป็นบทบังคับเพื่อความสมบูรณ์ของสัญญาที่ตัวแทนกระทำต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น มิได้ใช้บังคับสำหรับข้อพิพาทระหว่างตัวการกับตัวแทนด้วยกัน เมื่อมูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นมูลหนี้ตามสัญญาตัวแทน จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของบทกฎหมายดังกล่าว ระหว่างโจทก์จำเลยไม่จำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7048/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมเพื่ออุทธรณ์คำพิพากษา: เงื่อนไขและผลของการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ซึ่งค่าธรรมเนียมโจทก์ในคดีเป็นเงิน 32,227.50 บาท เมื่อจำเลยอุทธรณ์ก็ต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียม จำนวนดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 แต่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยวางเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนโจทก์เพียง 10,000 บาท ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมส่วนที่ขาดอีก 22,247.50 บาทมาวางภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ยื่นอุทธรณ์ จำเลยไม่ปฏิบัติ ตามคำสั่ง ศาลชั้นต้นจึงสั่งไม่รับอุทธรณ์จำเลย ซึ่งจำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 234โดยจำเลยมีหน้าที่ที่จะต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ ต่อศาลตามบทกฎหมายดังกล่าวด้วย แม้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ของจำเลยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางเงินค่าธรรมเนียม ที่จะต้องใช้แทนอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งมิใช่เนื้อหาของอุทธรณ์ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7048/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางค่าฤชาธรรมเนียมเพื่ออุทธรณ์คดีแพ่ง: เงื่อนไขและผลของการไม่ปฏิบัติตาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ซึ่งค่าธรรมเนียมโจทก์ในคดีเป็นเงิน 32,227.50 บาทเมื่อจำเลยอุทธรณ์ก็ต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมจำนวนดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 แต่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยวางเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนโจทก์เพียง 10,000 บาท ศาลชั้นต้นสั่งในอุทธรณ์จำเลยให้นำเงินค่าธรรมเนียมส่วนที่ขาดอีก 22,247.50 บาท มาวางภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ยื่นอุทธรณ์ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์จำเลย จำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 โดยจำเลยก็มีหน้าที่ที่จะต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลด้วย แม้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมิใช่เนื้อหาของอุทธรณ์ก็ตาม แต่ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7048/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางค่าฤชาธรรมเนียมเพื่ออุทธรณ์คดีแพ่ง: หน้าที่ของจำเลยและการปฏิบัติตามมาตรา 229 และ 234
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ซึ่งค่าธรรมเนียมโจทก์ในคดีเป็นเงิน32,227.50 บาท เมื่อจำเลยอุทธรณ์ก็ต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมจำนวนดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 แต่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยวางเงินค่าธรรมเนียมใช้แทนโจทก์เพียง 10,000 บาท ศาลชั้นต้นสั่งในอุทธรณ์จำเลยให้นำเงินค่าธรรมเนียมส่วนที่ขาดอีก 22,247.50บาท มาวางภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ยื่นอุทธรณ์ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์จำเลย จำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 โดยจำเลยก็มีหน้าที่ที่จะต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลด้วย แม้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมิใช่เนื้อหาของอุทธรณ์ แต่ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้วจำเลยจึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6976/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ส่งผลให้คดีไม่มีประเด็นพิพาท และไม่สามารถขอพิจารณาใหม่ได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ ซ.ผู้ตายเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทจึงไม่มีประเด็นที่พิพาท ในวันไต่สวนคำร้องผู้ร้องขอถอนคำร้องศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดี ไม่ใช่กรณีศาลแสดงว่าผู้ร้องขาดนัดพิจารณาและมีคำสั่งให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท ผู้ร้องจึงขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมาย-วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ไม่ได้
หลังจากศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องถอนคำร้องและจำหน่ายคดีแล้วผู้ร้องขอให้ศาลเรียก ร.เข้ามาในคดี และเรียกเอกสารในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1554/2535 ของศาลชั้นต้นมาประกอบการพิจารณา ไม่ทำให้คดีนี้มีประเด็นที่พิพาทเพราะการถอนคำร้องลบล้างผลแห่งการยื่นคำร้องและทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 176
เมื่อผู้ร้องถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไปแล้วจึงไม่มีคำร้องที่ผู้ร้องจะยกขึ้นมาขอพิจารณาใหม่ได้ แต่เป็นกรณีที่ผู้ร้องอาจยื่นคำร้องใหม่ได้เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6976/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและการขอพิจารณาคดีใหม่เมื่อไม่มีประเด็นพิพาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ ซ.ผู้ตายเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทจึงไม่มีประเด็นที่พิพาท ในวันไต่สวนคำร้องผู้ร้องขอถอนคำร้อง ศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดีไม่ใช่กรณีศาลแสดงว่าผู้ร้องขาดนัดพิจารณาและมีคำสั่งให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท ผู้ร้องจึงขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ไม่ได้ หลังจากศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องถอนคำร้องและจำหน่ายคดีแล้วผู้ร้องขอให้ศาลเรียก ร. เข้ามาในคดี และเรียกเอกสารในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1554/2535 ของศาลชั้นต้นมาประกอบการพิจารณาไม่ทำให้คดีนี้มีประเด็นที่พิพาทเพราะการถอนคำร้องลบล้างผลแห่งการยื่นคำร้องและทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 เมื่อผู้ร้องถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไปแล้วจึงไม่มีคำร้องที่ผู้ร้องจะยกขึ้นมาขอพิจารณาใหม่ได้ แต่เป็นกรณีที่ผู้ร้องอาจยื่นคำร้องใหม่ได้เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6695/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยในข้อหาทำร้ายร่างกาย แม้ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษในข้อหาชิงทรัพย์
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดอยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำเลยในข้อหานี้ เมื่อการกระทำผิดที่โจทก์ฟ้องนั้น รวมการกระทำข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งปรากฏในทางพิจารณาที่ได้ความ ทั้งโจทก์ก็ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาชอบที่จะลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6695/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกาย ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษทั้งสองกระทง
ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดอยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำเลยในข้อหานี้เมื่อการกระทำผิดที่โจทก์ฟ้องนั้น รวมการกระทำข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจซึ่งปรากฏในทางพิจารณาที่ได้ความ ทั้งโจทก์ก็ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาชอบที่จะลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
of 40