พบผลลัพธ์ทั้งหมด 330 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5273/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภารจำยอม: การใช้ทางจำเป็นเพื่อรักษาและใช้สิทธิ แม้มีการถมทางเพื่อปรับระดับให้เสมอถนนสาธารณะ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1391 เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิที่ทำการถมทางภารจำยอมเพื่อเป็นการรักษาและใช้ภารจำยอมเนื่องจากทางราชการได้ก่อสร้างถนนของทางราชการสูงกว่าทางภารจำยอม จึงต้องถมทางภารจำยอมให้สูงเสมอ กับถนนของทางราชการได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5273/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางภาระจำยอมโดยอายุความและการถมดินเพื่อรักษาทาง
ที่ดินแปลงหนึ่งแม้มีทางออกสู่ถนนสาธารณะแล้ว ก็อาจก่อให้เกิดทางภาระจำยอมทางอื่นโดยอายุความอีกได้
การที่เจ้าของสามยทรัพย์ถมทางภาระจำยอมให้สูงเท่ากับทางสาธารณะเพื่อเป็นการรักษาและใช้ทางภาระจำยอม ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1391ไม่เป็นการละเมิดต่อเจ้าของภารยทรัพย์
การที่เจ้าของสามยทรัพย์ถมทางภาระจำยอมให้สูงเท่ากับทางสาธารณะเพื่อเป็นการรักษาและใช้ทางภาระจำยอม ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1391ไม่เป็นการละเมิดต่อเจ้าของภารยทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5223/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดิน แม้มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงหากราคาที่ดินต่ำกว่าเกณฑ์
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยปักหลักหินบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและให้จำเลยรื้อถอนหลักหินออกไปจากที่ดินพิพาทจำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยปักหลักหินบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยครอบครองมาเกิน 10 ปีแล้วขอให้ยกฟ้อง เป็นการฟ้องเรียกร้องให้ได้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ ส่วนที่โจทก์ห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องและให้รื้อถอนหลักหินออกไปจากที่ดินพิพาทนั้นเป็นเพียงคำขอเกี่ยวเนื่อง คดีของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาของที่ดินพิพาทนั้น เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาเพียง 50,000 บาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5223/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดิน แม้มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงหากเกินทุนทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จำเลยปักหลักหินบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่1ไร่2งานเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องและให้จำเลยรื้อถอนหลักหินออกไปจากที่ดินพิพาทจำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยปักหลักหินบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยครอบครองมาเกิน10ปีแล้วขอให้ยกฟ้องเป็นการฟ้องเรียกร้องให้ได้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ส่วนที่โจทก์ห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องและให้รื้อถอนหลักหินออกไปจากที่ดินพิพาทนั้นเป็นเพียงคำขอเกี่ยวเนื่องคดีของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันเป็นอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาของที่ดินพิพาทนั้นเมื่อที่ดินพิพาทมีราคาเพียง50,000บาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5094/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายและการข่มขู่เรียกทรัพย์ กรณีพิพาทเรื่องเงินค่าบริการทางเพศ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่มีเจตนาข่มขู่เรียกทรัพย์
จำเลยที่2เข้าไปในห้องของโรงแรมกับผู้เสียหายและพร้อมที่จะให้ผู้เสียหายร่วมประเวณีเพื่อจะได้เงินตอบแทนแล้วแม้ผู้เสียหายจะได้ร่วมประเวณีกับจำเลยที่2หรือไม่ก็ตามจำเลยที่2ก็คิดว่าตนควรจะได้รับค่าร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย100บาทเต็มจำนวนเมื่อผู้เสียหายไม่ยอมจ่ายเงินให้ครบตามที่ตกลงและยังขู่ว่าจะนำตำรวจมาจับจำเลยที่2จึงได้ใช้ท่อน้ำประปาตีขาผู้เสียหายโดยผู้เสียหายกับจำเลยที่2ได้ทะเลาะวิวาทกันเรื่องเงินค่าร่วมประเวณีที่หน้าโรงเรียนจึงได้ทำร้ายกันที่จำเลยที่2ทวงเงินได้จากผู้เสียหายไป100บาทจึงไม่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายขู่เอาทรัพย์จากผู้เสียหายโดยมีเจตนาทุจริตเมื่อผู้เสียหายถูกจำเลยที่2ตีแล้วขณะกำลังยืนเจ็บอยู่วิ่งไปตามจำเลยที่1และที่3มาจำเลยที่1ขู่ว่าจะให้หรือไม่และชกผู้เสียหาย1ทีและจำเลยที่3พูดว่าให้เขาไปเถอะเงิน100บาทเท่านั้นผู้เสียหายจึงยอมให้เงินจำเลยที่3ไป100บาทเพื่อเอาไปให้จำเลยที่2เป็นเรื่องที่จำเลยที่1และที่3เข้ามาเกี่ยวข้องในภายหลังมิได้สมรู้ร่วมคิดกับจำเลยที่2ในเรื่องที่เกิดขึ้นมาก่อนเมื่อจำเลยที่2มิได้ใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อขู่เข็ญให้ผู้เสียหายส่งเงินให้100บาทโดยมีเจตนาทุจริตแล้วจำเลยที่1และที่3ก็ไม่มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่2ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายจำเลยที่1และที่3คงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา391
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5094/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายและการทวงหนี้ค่าประเวณี ไม่เข้าข่ายปล้นทรัพย์
จำเลยที่ 2 เข้าไปในห้องของโรงแรมกับผู้เสียหาย และพร้อมที่จะให้ผู้เสียหายร่วมประเวณีเพื่อจะได้เงินตอบแทนแล้ว แม้ผู้เสียหายจะได้ร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 2 หรือไม่ก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็คิดว่าตนควรจะได้รับค่าร่วมประเวณีกับผู้เสียหาย 100 บาท เต็มจำนวน เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมจ่ายเงินให้ครบตามที่ตกลงกันและยังขู่ว่าจะนำตำรวจมาจับ จำเลยที่ 2 จึงได้ใช้ท่อน้ำประปาตีขาผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายกับจำเลยที่ 2 ได้ทะเลาะวิวาทกันเรื่องเงินค่าร่วมประเวณีที่หน้าโรงแรมจึงได้ทำร้ายกัน ที่จำเลยที่ 2 ทวงเงินได้จากผู้เสียหายไป 100 บาท จึงไม่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายขู่เอาทรัพย์จากผู้เสียหายโดยมีเจตนาทุจริต เมื่อผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 2 ตีแล้ว ขณะกำลังยืนเจ็บอยู่ จำเลยที่ 2 วิ่งไปตามจำเลยที่ 1 และที่ 3 มาจำเลยที่ 1 ขู่ว่าจะให้หรือไม่และชกผู้เสียหาย 1 ที และจำเลยที่ 3 พูดว่าให้เขาไปเถอะเงิน 100 บาท เท่านั้น ผู้เสียหายจึงยอมให้เงินจำเลยที่ 3 ไป 100 บาทเพื่อเอาไปให้จำเลยที่ 2 เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้องในภายหลัง มิได้สมรู้ร่วมคิดกับจำเลยที่ 2 ในเรื่องที่เกิดขึ้นมาก่อน เมื่อจำเลยที่ 2มิได้ใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อขู่เข็ญให้ผู้เสียหายส่งเงินให้ 100 บาท โดยมีเจตนาทุจริตแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็ไม่มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 2 ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 และที่ 3 คงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5083/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์/ฎีกาในคดีบุกรุกและคดีมีทุนทรัพย์แยกจากกัน
โจทก์ฟ้องว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันบุกรุกทำให้เสียหาย หากนำไปให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าปีละ 24,000 บาทจำเลยทั้งเจ็ดให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ต่างแยกการครอบครอง ดังนั้นคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ในขณะยื่นฟ้อง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 และที่ 5 เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 5 รวมกันมา ทั้งจำเลยที่ 3 และที่ 5 จะยื่นคำให้การรวมกันมาในคำให้การเดียวกันก็ตาม แต่ที่ดินพิพาทในส่วนของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ซึ่งพิพาทกับโจทก์แยกต่างหากจากกัน เพราะฉะนั้นค่าขึ้นศาลสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 5 ต้องคิดแยกต่างหากจากกันด้วย เมื่อที่ดินพิพาทในส่วนที่จำเลยที่ 3 และที่ 5 พิพาทกับโจทก์มีราคา 111,199.25 บาท และ52,037.58 บาท ตามลำดับ คดีสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 5 จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาของแต่ละคนไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5078/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นการครอบครองที่ดินและการกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยได้
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินมือเปล่าของโจทก์จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1ปีนับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทและศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นนี้จึงเป็นการไม่ชอบและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4730/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีแชร์และการแบ่งแยกความรับผิดของจำเลยแต่ละคนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท
โจทก์เป็นหัวหน้าวงแชร์จำเลยที่1และที่2เป็นลูกวงแชร์ของโจทก์จำเลยที่1และที่2ประมูลแชร์และรับเงินที่ประมูลได้ไปแล้วไม่ผ่อนชำระค่าหุ้นแก่โจทก์โจทก์ฟ้องจำเลยที่1และที่2เป็นคดีเดียวกันศาลชั้นต้นรับฟ้องโดยไม่ได้สั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่2เป็นอีกคดีและได้พิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ตามที่โจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาลจนถึงชั้นพิจารณาของศาลฎีกาเกี่ยวกับการเสนอคำฟ้องต่อศาลคดีนี้เมื่อพิจารณาถึงสภาพแห่งคำฟ้องและชั้นของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา2ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและเมื่อพิจารณาถึงคำฟ้องปรากฏว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจศาลตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยศาลที่จะรับคำฟ้องและตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดเขตของศาลทั้งคดีเกี่ยวเนื่องกันด้วยจึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำศาลอุทธรณ์พิพากษาเฉพาะจำเลยที่2แล้วให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่2เป็นคดีใหม่ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่1และที่2ร่วมกันเล่นแชร์และค้างชำระเงินค่าหุ้นแชร์แก่โจทก์ตามฟ้องแต่เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยที่1ชำระเงิน139,710บาทและบังคับให้จำเลยที่2ชำระเงิน31,063บาทจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงห้ามจำเลยที่1ฎีกาในข้อเท็จจริงส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่2มีทุนทรัพย์จำนวน31,063บาทศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยที่2จะฎีกาโต้เถียงให้รับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1และที่2ต่างรับผิดใช้เงินจำนวนไม่เท่ากันและไม่ได้ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าขึ้นศาลและค่าทนายความจึงต้องใช้ตามจำนวนทุนทรัพย์ของจำเลยแต่ละคน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4730/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล และการจำกัดสิทธิฎีกาในคดีแชร์ การใช้ทุนทรัพย์ในการจำกัดสิทธิ
โจทก์เป็นหัวหน้าวงแชร์ จำเลยที่ 1 และ ที่ 2 เป็นลูกวงแชร์ของโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ประมูลแชร์และรับเงินที่ประมูลได้ไปแล้วไม่ผ่อนชำระค่าหุ้นแก่โจทก์ โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีเดียวกัน ศาลชั้นต้นรับฟ้องโดยไม่ได้สั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นอีกคดี และได้พิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ตามที่โจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาลจนถึงชั้นพิจารณาของศาลฎีกา เกี่ยวกับการเสนอคำฟ้องต่อศาลคดีนี้ เมื่อพิจารณาถึงสภาพแห่งคำฟ้องและชั้นของศาลตาม ป.วิ.พ.มาตรา 2 ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และเมื่อพิจารณาถึงคำฟ้อง ปรากฏว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจศาลตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยศาลที่จะรับคำฟ้องและตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดเขตของศาลทั้งคดีเกี่ยวเนื่องกันด้วย จึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 2 แล้วให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันเล่นแชร์และค้างชำระเงินค่าหุ้นแชร์แก่โจทก์ตามฟ้อง แต่เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน139,710 บาท และบังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 31,063 บาท จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงห้ามจำเลยที่ 1 ฎีกาในข้อเท็จจริง ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 มีทุนทรัพย์จำนวน31,063 บาท ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 จะฎีกาโต้เถียงให้รับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างรับผิดใช้เงินจำนวนไม่เท่ากัน และไม่ได้ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าขึ้นศาลและค่าทนายความจึงต้องใช้ตามจำนวนทุนทรัพย์ของจำเลยแต่ละคน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันเล่นแชร์และค้างชำระเงินค่าหุ้นแชร์แก่โจทก์ตามฟ้อง แต่เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน139,710 บาท และบังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 31,063 บาท จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงห้ามจำเลยที่ 1 ฎีกาในข้อเท็จจริง ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 มีทุนทรัพย์จำนวน31,063 บาท ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 จะฎีกาโต้เถียงให้รับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างรับผิดใช้เงินจำนวนไม่เท่ากัน และไม่ได้ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าขึ้นศาลและค่าทนายความจึงต้องใช้ตามจำนวนทุนทรัพย์ของจำเลยแต่ละคน