พบผลลัพธ์ทั้งหมด 330 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินเพื่อกิจการศาสนาอิสลาม ไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
บิดาจำเลยยกที่ดินพิพาทให้ก็เพื่อให้บิดาโจทก์ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามอันเป็นการยกให้ตามหลักศาสนาอิสลามมิได้มีความประสงค์ที่จะยกที่ดินพิพาทให้แก่บิดาโจทก์เป็นสิทธิส่วนตัว ซึ่งบิดาโจทก์ทราบถึงเจตนาของบิดาจำเลยและข้อบัญญัติของศาสนาอิสลามเพราะเป็นครูสอนศาสนาอิสลาม แม้โจทก์เองซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจการของโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามต่อจากบิดาก็ทราบดีว่าที่ดินที่บิดาจำเลยยกให้นั้นมิได้ยกให้เป็นสิทธิส่วนตัวของบิดาโจทก์ แต่ยกให้แก่โรงเรียนสอนศาสนา การที่บิดาโจทก์ครอบครองดูแลที่ดินพิพาทตั้งแต่ได้รับยกให้จากบิดาจำเลยจึงเป็นการครอบครองดูแลรักษาตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม บิดาโจทก์มิได้มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใด บิดาโจทก์หรือโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7574/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความตายจากบาดแผลถูกยิงเป็นเหตุโดยตรง แม้มีปัจจัยอื่นเสริม ศาลฎีกาพิพากษาความรับผิดทางอาญา
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า ผู้ตายถูกกระสุนที่อกแถบซ้ายด้านข้างระดับราวนม กระสุนปืนทะลุกะบังลมม้าม กระเพาะอาหาร ไขสันหลัง กระสุนฝังอยู่ที่ไขสันหลังแพทย์ผ่าตัดเอาออกไม่ได้ ทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 84 วัน บาดแผลในช่องท้องหายจึงออกจากโรงพยาบาลไปรักษาตัวที่บ้านเพราะมีบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก เนื่องจากผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงทำให้เกิดบาดแผล ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังจากออกจากโรงพยาบาลประมาณ 2 เดือน ด้วยสาเหตุระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตล้มเหลว ดังนี้ แม้แพทย์ผู้รักษาผู้ตายจะมิได้ยืนยันว่าเหตุที่ระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตของผู้ตายล้มเหลวจะเกิดจากการที่ผู้ตายเป็นอัมพาต แต่การที่ขาทั้งสองข้างของผู้ตายเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจนทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก ย่อมแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของผู้ตายภายหลังจากรักษาบาดแผลในช่องท้องหายแล้วอยู่ในสภาพแย่ มาก และอาการพิการร้ายแรงเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งผู้ตายก็ถึงแก่ความตายหลังจากถูกยิงประมาณ 4 เดือนเศษอันเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้ตายต้องรักษาตัวสืบเนื่องตลอดมานับแต่ถูกยิง ถือได้ว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7574/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความตายจากบาดแผลถูกยิงเชื่อมโยงกับการกระทำของจำเลย
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า ผู้ตายถูกกระสุนที่อกแถบซ้ายด้านข้างระดับราวนม กระสุนปืนทะลุกะบังลม ม้าม กระเพาะอาหารไขสันหลัง กระสุนฝังอยู่ที่ไขสันหลัง แพทย์ผ่าตัดเอาออกไม่ได้ ทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล 84 วันบาดแผลในช่องท้องหายจึงออกจากโรงพยาบาลไปรักษาที่บ้านเพราะมีบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก เนื่องจากผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงทำให้เกิดบาดแผล ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังออกจากโรงพยาบาลประมาณ 2 เดือน ด้วยสาเหตุระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ดังนี้ แม้แพทย์ผู้รักษาผู้ตายจะมิได้ยืนยันว่าเหตุที่ระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตของผู้ตายล้มเหลวจะเกิดจากการที่ผู้ตายเป็นอัมพาต แต่การที่ขาทั้งสองข้างของผู้ตายเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจนทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก ย่อมแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของผู้ตายภายหลังจากรักษาบาดแผลในช่องท้องหายแล้วอยู่ในสภาพแย่มาก และอาการพิการร้ายแรงเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพขอังร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งผู้ตายก็ถึงแก่ความตายหลังจากถูกยิงประมาณ 4 เดือนเศษ อันเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้ตายต้องรักษาตัวสืบเนื่องกันตลอดมานับแต่ถูกยิง ถือได้ว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7574/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความตายจากบาดแผลกระสุนปืนและการรักษาพยาบาล: ความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย กระสุนปืนถูกที่อกแถบซ้ายด้านข้างระดับนมทะลุกะบังลม ม้าม กระเพาะอาหาร ไขสันหลัง และฝังอยู่ที่ไขสันหลัง แพทย์ผ่าตัดเอากระสุนปืนออกไม่ได้ ทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 84 วัน บาดแผลในช่องท้องหายจึงออกจากโรงพยาบาลไปรักษาตัวที่บ้าน เพราะมีบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก เนื่องจากผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงทำให้เกิดบาดแผล ต่อมาผู้ตายถึงแก่ความตายหลังออกจากโรงพยาบาลประมาณ 2 เดือน ด้วยสาเหตุระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ดังนี้ แม้คำเบิกความของพยานโจทก์ผู้ทำการรักษาผู้ตายจะมิได้ยืนยันว่าสาเหตุการตายเกิดจากการที่ผู้ตายเป็นอัมพาตแต่การที่ผู้ตายต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานเพราะเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้เนื่องจากขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตจนทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพกย่อมแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของผู้ตายภายหลังจากรักษาบาดแผลในช่องท้องหายแล้วอยู่ในสภาพแย่มาก อาการพิการร้ายแรงเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ถือได้ว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7556/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในสินสมรสเมื่อมีการขายทรัพย์สินโดยไม่ได้รับความยินยอม และสิทธิในการร้องกล่าวอ้างในคดีบังคับคดี
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ทำสัญญาขายที่พิพาททั้งแปลงให้แก่จำเลยและจำเลยครอบครองยึดถือเพื่อตนแล้ว จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองที่พิพาท การที่จำเลยได้สิทธิครอบครองที่พิพาทจึงเป็นผลจากสัญญาซื้อขายที่โจทก์ตกลงขายและส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลย หาใช่จำเลยได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 แต่ประการเดียวไม่ผู้ร้องจึงชอบที่จะกล่าวอ้างได้ว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ร้อง โจทก์ขายให้แก่จำเลยโดยผู้ร้องมิได้ให้ความยินยอม ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยได้สิทธิครอบครองที่พิพาท ให้โจทก์จดทะเบียนโอนแก่จำเลย หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาเอาแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปการที่ผู้ร้องร้องว่าโจทก์นำที่พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสไปขายให้แก่จำเลยโดยผู้ร้องมิได้ให้ความยินยอม เท่ากับเป็นการกล่าวอ้างว่าการซื้อขายที่พิพาทไม่ผูกพันที่พิพาทอันเป็นสินสมรสในส่วนของผู้ร้องและนับได้ว่าเป็นสิทธิอื่น ๆ ที่ผู้ร้องอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย ซึ่งการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องเข้ามาในคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7556/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในสินสมรสและการบังคับคดี: การร้องกล่าวอ้างสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกขายโดยคู่สมรสโดยไม่ยินยอม
ในคดีเดิมศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ทำสัญญาขายที่พิพาททั้งแปลงให้แก่จำเลย และจำเลยครอบครองยึดถือเพื่อตนแล้วจำเลยจึงได้สิทธิครอบครองที่พิพาท ดังนั้นการที่จำเลยได้สิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดิน น.ส.3 จึงเป็นผลจากสัญญาซื้อขายที่โจทก์ตกลงขายและส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยนั่นเองการได้สิทธิครอบครองที่พิพาทของจำเลยย่อมเป็นการได้สิทธิมาตามสัญญาซื้อขาย ดังนั้นผู้ร้องชอบที่จะกล่าวอ้างได้ว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ร้อง โจทก์ขายให้แก่จำเลยโดยผู้ร้องมิได้ให้ความยินยอมได้ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยได้สิทธิครอบครองที่พิพาทให้โจทก์จดทะเบียนโอนแก่จำเลย หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาเอาแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อไป การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกร้องเข้ามาในชั้นนี้ว่า โจทก์นำที่พิพาทซึ่ง เป็นสินสมรสไปขายให้แก่จำเลยโดยผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาโจทก์มิได้ให้ความยินยอม เท่ากับเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นว่าการซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ผูกพันที่พิพาทอันเป็นสินสมรสในส่วนของผู้ร้อง และนับได้ว่าเป็นสิทธิอื่น ๆ ที่ผู้ร้องอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย ซึ่งการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องกล่าวอ้างเข้ามาในคดีนี้ได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับคำร้องของผู้ร้องไว้ไต่สวนต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7501/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายหุ้น, หนังสือรับสภาพหนี้, และการตั้งตัวแทนตามกฎหมายหลักทรัพย์
ตาม พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 44 วรรคแรก การตั้งบุคคลใดเป็นตัวแทนหรือนายหน้าของบริษัทหลักทรัพย์ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน หมายความถึงเฉพาะการตั้งตัวแทนหรือนายหน้าเพื่อให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์เท่านั้นที่จะต้องขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน ส่วนการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแม้จะถือว่าเป็นการตั้งตัวแทนก็ไม่ต้องขอนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยเพราะการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นอำนาจทั่วไปที่บุคคลมีอยู่ตามกฎหมาย
การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่เรื่องซื้อขายหุ้นตามปกติแต่เป็นการซื้อขายหุ้นในกรณีพิเศษจึงไม่จำต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1129แต่อย่างใด และตาม พ.ร.บ. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2517มาตรา 20 บัญญัติว่า การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ให้กระทำได้เฉพาะหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์อนุญาตและโดยสมาชิกเท่านั้น แสดงว่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์กระทำได้เฉพาะสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์เท่านั้นซึ่งจำเลยก็ทราบดี แต่ก็ยังยินยอมแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อหรือขายหลักทรัพย์เมื่อจำเลยสมัครใจเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด จะอ้างว่าถูกเอาเปรียบไม่ได้
ตามบันทึกข้อตกลงมีการคิดคำนวณหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์และมีการนำเงินที่จำเลยวางไว้เป็นประกันพร้อมดอกเบี้ยกับมูลค่าหุ้นที่จำเลยมีอยู่มาตีราคานำมาหักชำระหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์และมีการตกลงผ่อนชำระกันไว้ แสดงให้เห็นว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาให้เอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้มีผลผูกพันใช้บังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า เอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้ตามกฎหมาย จำเลยไม่เป็นหนี้โจทก์จำเลยไม่ต้องรับผิดแสดงว่าจำเลยปฏิเสธไม่ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ทั้งหมด ถือได้ว่าจำเลยไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาตามหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดได้ และเมื่อจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดในการชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยตามหนังสือรับสภาพหนี้ได้
การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่เรื่องซื้อขายหุ้นตามปกติแต่เป็นการซื้อขายหุ้นในกรณีพิเศษจึงไม่จำต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1129แต่อย่างใด และตาม พ.ร.บ. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2517มาตรา 20 บัญญัติว่า การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ให้กระทำได้เฉพาะหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์อนุญาตและโดยสมาชิกเท่านั้น แสดงว่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์กระทำได้เฉพาะสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์เท่านั้นซึ่งจำเลยก็ทราบดี แต่ก็ยังยินยอมแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อหรือขายหลักทรัพย์เมื่อจำเลยสมัครใจเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด จะอ้างว่าถูกเอาเปรียบไม่ได้
ตามบันทึกข้อตกลงมีการคิดคำนวณหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์และมีการนำเงินที่จำเลยวางไว้เป็นประกันพร้อมดอกเบี้ยกับมูลค่าหุ้นที่จำเลยมีอยู่มาตีราคานำมาหักชำระหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์และมีการตกลงผ่อนชำระกันไว้ แสดงให้เห็นว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาให้เอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้มีผลผูกพันใช้บังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า เอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้ตามกฎหมาย จำเลยไม่เป็นหนี้โจทก์จำเลยไม่ต้องรับผิดแสดงว่าจำเลยปฏิเสธไม่ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ทั้งหมด ถือได้ว่าจำเลยไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาตามหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดได้ และเมื่อจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดในการชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยตามหนังสือรับสภาพหนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7501/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจซื้อขายหุ้นและการบังคับชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้
ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟ้องซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 44 วรรคแรก การตั้งบุคคลใดเป็นตัวแทนหรือนายหน้าของบริษัทหลักทรัพย์ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน หมายความถึงเฉพาะการตั้งตัวแทนหรือนายหน้าเพื่อให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์เท่านั้นที่จะต้องขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน ส่วนการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแม้จะถือว่าเป็นการตั้งตัวแทนก็ไม่ต้องขออนุญาตต่อธนาคารแห่งประเทศไทยเพราะการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นอำนาจทั่วไปที่บุคคลมีอยู่ตามกฎหมาย การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่เรื่องซื้อขายหุ้นตามปกติแต่เป็นการซื้อขายหุ้นในกรณีพิเศษจึงไม่จำต้องปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 แต่อย่างใดและตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517มาตรา 20 บัญญัติว่า การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ให้กระทำได้เฉพาะหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์อนุญาตและโดยสมาชิกเท่านั้น แสดงว่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์กระทำได้เฉพาะสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์เท่านั้นซึ่งจำเลยก็ทราบดีแต่ก็ยังยินยอมแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนซื้อหรือขายหลักทรัพย์เมื่อจำเลยสมัครใจเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด จะอ้างว่าถูกเอาเปรียบไม่ได้ ตามบันทึกข้อตกลงมีการคิดคำนวณหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์และมีการนำเงินที่จำเลยวางไว้เป็นประกันพร้อมดอกเบี้ยกับมูลค่าหุ้นที่จำเลยมีอยู่มาตีราคานำมาหักชำระหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์และมีการตกลงผ่อนชำระกันไว้ แสดงให้เห็นว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาให้เอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพหนี้รับสภาพหนี้มีผลผูกพันใช้บังคับได้ตามกฎหมาย จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า เอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้ตามกฎหมาย จำเลยไม่เป็นหนี้โจทก์จำเลยไม่ต้องรับผิดแสดงว่าจำเลยปฏิเสธไม่ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ทั้งหมดถือได้ว่าจำเลยไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาตามหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดได้ และเมื่อจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดในการชำระหนี้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยตามหนังสือรับสภาพหนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7332/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญาตัวแทน: ทุนทรัพย์, ข้อเท็จจริง, และขอบเขตบังคับใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 798
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง200,000 บาท หาใช่จำนวน 238,568.49 บาท ดังที่จำเลยระบุจำนวนทุนทรัพย์มาหน้าคำฟ้องฎีกาจำเลยไม่ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง (อ้างฎีกาที่ 1926/2537 ประชุมใหญ่)
จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อที่ดินและอาคารพิพาทเพื่อตนเองไม่ได้เป็นตัวแทนโจทก์ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท จำเลยได้กระทำไปในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ ฎีกาจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 เป็นบทบังคับเพื่อความสมบูรณ์ของสัญญาที่ตัวแทนกระทำต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น มิได้ใช้บังคับสำหรับข้อพิพาทระหว่างตัวการกับตัวแทนด้วยกัน เมื่อมูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นมูลหนี้ตามสัญญาตัวแทน จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของบทกฎหมายดังกล่าว ระหว่างโจทก์จำเลยไม่จำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้
จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อที่ดินและอาคารพิพาทเพื่อตนเองไม่ได้เป็นตัวแทนโจทก์ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท จำเลยได้กระทำไปในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ ฎีกาจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 เป็นบทบังคับเพื่อความสมบูรณ์ของสัญญาที่ตัวแทนกระทำต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น มิได้ใช้บังคับสำหรับข้อพิพาทระหว่างตัวการกับตัวแทนด้วยกัน เมื่อมูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นมูลหนี้ตามสัญญาตัวแทน จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของบทกฎหมายดังกล่าว ระหว่างโจทก์จำเลยไม่จำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7332/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเป็นตัวแทนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีผลผูกพัน และจำกัดสิทธิในการฎีกาเรื่องข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง ทุกทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง200,000 บาท หาใช่จำนวน 238,568.49 บาท ดังที่จำเลยระบุจำนวนทุนทรัพย์มาหน้าคำฟ้องฎีกาจำเลยไม่ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง (อ้างฎีกาที่ 1926/2527 ประชุมใหญ่) จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อที่ดินและอาคารพิพาทเพื่อตนเองไม่ได้เป็นตัวแทนโจทก์ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทจำเลยได้กระทำไปในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ ฎีกาจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 เป็นบทบังคับเพื่อความสมบูรณ์ของสัญญาที่ตัวแทนกระทำต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น มิได้ใช้บังคับสำหรับข้อพิพาทระหว่างตัวการกับตัวแทนด้วยกัน เมื่อมูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นมูลหนี้ตามสัญญาตัวแทน จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของบทกฎหมายดังกล่าว ระหว่างโจทก์จำเลยไม่จำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้