คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สถิตย์ สิทธิลักษณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 330 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จต่อศาลในคดีครอบครองปรปักษ์ ถือเป็นข้อสำคัญในคดี ทำให้คู่ความเสียเปรียบตามกฎหมาย
การที่จำเลยทั้งสามเบิกความว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินต่างมีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดส่วนของน.ก. และอ. อยู่ทางทิศตะวันตกเนื้อที่รวม8ไร่น.ก.และอ. ถึงแก่ความตายไปประมาณ10ปีแล้วก่อนถึงแก่ความตายบุคคลทั้งสามยกที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือเพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามหลังจากนั้นจำเลยทั้งสามได้ทำนาในที่ดินตลอดมาโดยการครอบครองด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา10ปีเศษไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านั้นหากศาลเชื่อว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสามเบิกความย่อมเป็นเหตุให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ความเท็จที่จำเลยทั้งสามเบิกความจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่ร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา177วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4380/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายที่ดินของผู้เช่านา: สิทธิซื้อคืนตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ แม้ปฏิเสธซื้อก่อน แต่หากราคา/วิธีชำระแตกต่าง ต้องแจ้งสิทธิซื้ออีกครั้ง
แม้จำเลยร่วมได้ลงลายมือชื่อในหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนาที่มีข้อความระบุว่า ฟ. และ ซ. เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 เนื้อที่ 20 ไร่เศษ ซึ่งจำเลยเช่าทำนาอยู่มีความประสงค์จะขายที่ดินโฉนดแปลงดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นในราคาไร่ละ 60,000 บาทผู้เช่านาได้บอกปฏิเสธไม่ซื้อที่ดินแปลงนี้และยินยอมให้เจ้าของที่ดินขายให้แก่บุคคลอื่นไปได้ อันถือได้ว่าจำเลยร่วมสละสิทธิที่จะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 จำนวน 20 ไร่เศษในราคาไร่ละ 60,000 บาท เป็นเงินกว่า 1,200,000 บาท แล้วก็ตาม แต่ถ้า ฟ. และซ. จะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้บุคคลอื่นในราคาหรือวิธีการชำระเงินที่แตกต่างไปจากราคาและวิธีการที่จำเลยร่วมสละสิทธิ ตามหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนา ฟ. และ ซ. จะต้องแจ้งให้จำเลยร่วมทราบโดยดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 53 วรรคหนึ่งใหม่ การที่ ฟ. และ ซ. ขายที่นาพิพาทเนื้อที่ 9 ไร่42 ตารางวา ซึ่งแบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 เนื้อที่ 20 ไร่เศษดังกล่าวในราคาไร่ละ 60,000 บาท เป็นเงิน 5 แสนบาทเศษ จึงเป็นการขายที่ดินที่มีจำนวนเนื้อที่และราคาน้อยกว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 ถือได้ว่าเป็นการขายที่ดินในราคาหรือวิธีการชำระเงินที่แตกต่างไปจากราคาและวิธีการที่จำเลยร่วมสละสิทธิตามหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อที่นาดังนี้ ฟ. และ ซ. จึงต้องแจ้งให้จำเลยร่วมทราบโดยดำเนินการตามมาตรา 53 วรรคหนึ่งดังกล่าวข้างต้น จะถือว่าหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนาฉบับเดิม เป็นการปฏิเสธไม่ซื้อที่นาพิพาทที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 ด้วยไม่ได้ เมื่อ ฟ. และ ซ. ขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมโดยยังมิได้ดำเนินการตามบทบัญญัติมาตรา 53 วรรคหนึ่งจำเลยร่วมในฐานะผู้เช่านาที่นาพิพาทจึงมีสิทธิซื้อที่นาพิพาทจากโจทก์และโจทก์ร่วมผู้รับโอนที่นาพิพาทได้ตามมาตรา 54
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์และโจทก์ร่วมจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยร่วมผู้เช่านาเดิม และให้จำเลยร่วมชำระเงินค่าที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมโดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาให้จำเลยร่วมนำเงินค่าที่นาพิพาทมาวางศาล ยังไม่สมบูรณ์ ศาลฎีกาจึงแก้ไขโดยกำหนดระยะเวลาให้จำเลยร่วมผู้เช่านานำเงินค่าที่นาพิพาทมาวางศาล มิฉะนั้นให้ถือว่าไม่ติดใจซื้อ
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติของ คชก. จังหวัด มิได้ขอให้บังคับผู้ใดให้โอนทรัพย์สินให้แก่โจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับฟ้องโจทก์เพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ 2(ก) ในศาลชั้นต้น โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4380/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินหลังสละสิทธิ: ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงราคา/วิธีการชำระเงินตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ ก่อน
แม้จำเลยร่วมได้ลงลายมือชื่อในหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนาที่มีข้อความระบุว่า ฟ.และ ซ.เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 เนื้อที่ 20 ไร่เศษ ซึ่งจำเลยเช่าทำนาอยู่มีความประสงค์จะขายที่ดินโฉนดแปลงดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นในราคาไร่ละ60,000 บาท ผู้เช่านาได้บอกปฏิเสธไม่ซื้อที่ดินแปลงนี้และยินยอมให้เจ้าของที่ดินขายให้แก่บุคคลอื่นไปได้ อันถือได้ว่าจำเลยร่วมสละสิทธิที่จะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6783จำนวน 20 ไร่เศษ ในราคาไร่ละ 60,000 บาท เป็นเงินกว่า 1,200,000 บาทแล้วก็ตาม แต่ถ้า ฟ.และ ซ.จะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้บุคคลอื่นในราคาหรือวิธีการชำระเงินที่แตกต่างไปจากราคาและวิธีการที่จำเลยร่วมสละสิทธิ ตามหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนา ฟ.และ ซ.จะต้องแจ้งให้จำเลยร่วมทราบโดยดำเนินการตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 53 วรรคหนึ่งใหม่ การที่ ฟ.และซ.ขายที่นาพิพาทเนื้อที่ 9 ไร่ 42 ตารางวา ซึ่งแบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6783เนื้อที่ 20 ไร่เศษดังกล่าวในราคาไร่ละ 60,000 บาท เป็นเงิน 5 แสนบาทเศษจึงเป็นการขายที่ดินที่มีจำนวนเนื้อที่และราคาน้อยกว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 ถือได้ว่าเป็นการขายที่ดินในราคาหรือวิธีการชำระเงินที่แตกต่างไปจากราคาและวิธีการที่จำเลยร่วมสละสิทธิตามหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อที่นา ดังนี้ ฟ.และ ซ.จึงต้องแจ้งให้จำเลยร่วมทราบโดยดำเนินการตามมาตรา 53 วรรคหนึ่งดังกล่าวข้างต้น จะถือว่าหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนาฉบับเดิม เป็นการปฏิเสธไม่ซื้อที่นาพิพาทที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6783 ด้วยไม่ได้ เมื่อ ฟ.และ ซ.ขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมโดยยังมิได้ดำเนินการตามบทบัญญัติมาตรา 53 วรรคหนึ่ง จำเลยร่วมในฐานะผู้เช่าผู้รับโอนที่นาพิพาทได้ตามมาตรา 54
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์และโจทก์ร่วมจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยร่วมผู้เช่านาเดิม และให้จำเลยร่วมชำระเงินค่าที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมโดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาให้จำเลยร่วมนำเงินค่าที่นาพิพาทมาวางศาล ยังไม่สมบูรณ์ ศาลฎีกาจึงแก้ไขโดยกำหนดระยะเวลาให้จำเลยร่วมผู้เช่านานำเงินค่าที่นาพิพาทมาวางศาล มิฉะนั้นให้ถือว่าไม่ติดใจซื้อ
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติของ คชก.จังหวัดมิได้ขอให้บังคับผู้ใดให้โอนทรัพย์สินให้แก่โจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลสำหรับฟ้องโจทก์เพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. 2 (ก) ในศาลชั้นต้น โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง200 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4246/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน: ห้ามคิดดอกเบี้ยซ้อนจากเงินเพิ่มค่าภาษีค้างชำระ
ตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 บัญญัติเกี่ยวกับเงินค่าภาษีค้างชำระไว้ในมาตรา 43 ว่า ผู้ค้างชำระจะต้องเสียเงินเพิ่มคิดเป็นร้อยละตามจำนวนค่าภาษีที่ค้างและมีอัตราเงินเพิ่มสูงขึ้นตามเวลาที่ค้างชำระแสดงว่ากฎหมายได้บัญญัติทางแก้สำหรับกรณีลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าภาษีที่ค้างชำระไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงคิดดอกเบี้ยซ้อนเข้าไปอีกในระหว่างผิดนัดไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะได้รับดอกเบี้ยจากค่าภาษีค้างชำระและเงินเพิ่มอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4246/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาษีค้างชำระ: กฎหมายกำหนดเงินเพิ่มเพียงอย่างเดียว ห้ามคิดดอกเบี้ยซ้ำซ้อน
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินฯบัญญัติเกี่ยวกับเงินค่าภาษีค้างชำระไว้ในมาตรา43ว่าผู้ค้างชำระจะต้องเสียเงินเพิ่มคิดเป็นร้อยละตามจำนวนค่าภาษีที่ค้างและมีอัตราเงินเพิ่มสูงขึ้นตามเวลาที่ค้างชำระแสดงว่ากฎหมายได้บัญญัติทางแก้สำหรับกรณีลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าภาษีที่ค้างชำระไว้โดยเฉพาะแล้วจึงคิดดอกเบี้ยซ้อนเข้าไปอีกระหว่างผิดนัดไม่ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะได้รับดอกเบี้ยจากค่าภาษีค้างชำระและเงินเพิ่มอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4246/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาษีค้างชำระ: กฎหมายกำหนดเงินเพิ่มเพียงอย่างเดียว ไม่อำนาจคิดดอกเบี้ยซ้ำซ้อน
ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ.2475บัญญัติเกี่ยวกับเงินค่าภาษีค้างชำระไว้ในมาตรา43ว่าผู้ค้างชำระจะต้องเสียเงินเพิ่มคิดเป็นร้อยละตามจำนวนค่าภาษีที่ค้างและมีอัตราเงินเพิ่มสูงขึ้นตามเวลาที่ค้างชำระแสดงว่ากฎหมายได้บัญญัติทางแก้สำหรับกรณีลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าภาษีที่ค้างชำระไว้โดยเฉพาะแล้วจึงคิดดอกเบี้ยซ้อนเข้าไปอีกในระหว่างผิดนัดไม่ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะได้รับดอกเบี้ยจากค่าภาษีค้างชำระและเงินเพิ่มอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3945/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญา ผู้ที่ไม่ได้ตกลงไม่ผูกพัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายขอให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้วคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าจำเลยยอมขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังนี้ผู้ร้องทั้งสามจะเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ก็ตามเมื่อผู้ร้องทั้งสามมิได้ถูกฟ้องและมิได้ตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยโจทก์ย่อมไม่อาจอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมมาบังคับแก่ผู้ร้องทั้งสามกรณีไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3945/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความบังคับใช้ได้เฉพาะคู่สัญญา ผู้ไม่อยู่ในสัญญาไม่อาจถูกบังคับตามคำพิพากษา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ขอให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมว่าจำเลยยอม ขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังนี้ กรณีไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) เพราะผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกมิได้ถูกฟ้องและมิได้ตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย ผู้ร้องจะเป็นบริวารจำเลยหรือไม่ก็ตาม โจทก์ย่อมไม่อาจอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมมาบังคับแก่ผู้ร้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3550/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า: ผู้ยึดถือครอบครองมีสิทธิเหนือกว่า การแย่งการครอบครองไม่เกิดขึ้นหากครอบครองของตนเอง
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าผู้ที่จะได้สิทธิในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้นหรือมีผู้ยึดถือแทนเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย การแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้นดังนั้นเมื่อจำเลยอ้างในคำให้การว่าจำเลยครอบครองที่ดินของตนเองและโจทก์อ้างในคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ครอบครองที่ดินของโจทก์เองคดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่และฟ้องแย้งจำเลยขาดอายุความหรือไม่จึงไม่ชอบและศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานข่มขืนใจ ปล้นทรัพย์ (ความผิดฐานปล้นทรัพย์ไม่สำเร็จ) พยายามฆ่า และพาอาวุธปืนไปในเมือง
จำเลยกับพวกขึ้นไปบนรถโดยสารประจำทางบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายถอด เสื้อฝึกงานและ แหวนรุ่นทำด้วยเงินซึ่งมีราคาเล็กน้อยจำเลยกับพวกกระทำไปเป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ด้วยความคะนองเพื่อให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นนักศึกษาต่างสถาบันที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับสถาบันของจำเลยเห็นว่าเป็นคนเก่งพอที่จะรังแกคนได้ตามวิสัยวัยรุ่นที่มีความประพฤติไม่เรียบร้อยเท่านั้นมิใช่มุ่งหมายเพื่อจะได้ประโยชน์จากทรัพย์จึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา309วรรคแรกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องจึงต้องลงโทษตามที่พิจารณาได้ความส่วนเสื้อฝึกงานและแหวนเงินจำเลยไม่มีสิทธิยึดถือไว้ต้องคืนแก่ผู้เสียหายหลังจากให้ถอดเสื้อฝึกงานและแหวนเงินแล้วกลุ่มเพื่อนของจำเลย3คนได้ชกต่อยผู้เสียหายจากนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในระยะห่าง1ฟุตแต่ผู้เสียหายยกขาและแขนขึ้นปิดป้องไว้และกระสุนปืนถูกกระดุมเสื้อซึ่งเป็นแผ่นเหล็กเป็นเหตุให้ไม่ถูกอวัยวะส่วนสำคัญถือได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงโดยมี เจตนาฆ่าแต่การกระทำไม่บรรลุผลจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,80และมาตรา371
of 33