คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สถิตย์ สิทธิลักษณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 330 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงผ่อนชำระหนี้และเบี้ยปรับ: สิทธิของเจ้าหนี้ในการคิดดอกเบี้ยเมื่อลูกหนี้ผิดนัด
ที่หนังสือรับสภาพหนี้และขอผ่อนชำระหนี้มีข้อความระบุว่าถ้าจำเลยที่ 1 สามารถชำระหนี้ได้ถูกต้องครบถ้วนตามระยะเวลาที่กำหนดโจทก์จะไม่คิดดอกเบี้ยในหนี้ที่ค้างชำระนั้น แสดงว่าหากจำเลยผ่อนชำระหนี้ตามจำนวนและเวลาที่กำหนดไว้โจทก์ย่อมไม่เสียหาย โจทก์จึงไม่คิดดอกเบี้ย แต่ที่ระบุไว้ว่าถ้าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามจำนวนและในเวลาที่กำหนดไม่ว่าในงวดใดให้ถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดทุกงวด โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ที่ค้างพร้อมดอกเบี้ย ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแสดงว่าในกรณีที่จำเลยที่ 1 ประพฤติผิดเงื่อนไขและโจทก์เสียหาย โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในหนี้ที่ค้างชำระได้ ดอกเบี้ยที่กำหนดตามหนังสือขอผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวจึงถือเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ
เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ผ่อนชำระหนี้ตามจำนวนเงินและในเวลาที่กำหนดไว้ จึงถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ได้ โจทก์คิดดอกเบี้ยซึ่งเป็นเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินที่จำเลยที่ 1 ยังค้างชำระ เบี้ยปรับจึงไม่สูงเกินส่วน
จำเลยไม่ได้ยกปัญหาอายุความดอกเบี้ยค้างส่งขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ และปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับสภาพหนี้และผ่อนชำระ: เบี้ยปรับเมื่อผิดนัดชำระหนี้, ศาลยืนตามสัญญา
ที่หนังสือรับสภาพหนี้และขอผ่อนชำระหนี้มีข้อความระบุว่าถ้าจำเลยที่1สามารถชำระหนี้ได้ถูกต้องครบถ้วนตามระยะเวลาที่กำหนดโจทก์จะไม่คิดดอกเบี้ยในหนี้ที่ค้างชำระนั้นแสดงว่าหากจำเลยผ่อนชำระหนี้ตามจำนวนและเวลาที่กำหนดไว้โจทก์ย่อมไม่เสียหายโจทก์จึงไม่คิดดอกเบี้ยแต่ที่ระบุไว้ว่าถ้าจำเลยที่1ผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามจำนวนและในเวลาที่กำหนดไม่ว่าในงวดใดให้ถือว่าจำเลยที่1ผิดนัดทุกงวดโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่1ชำระหนี้ที่ค้างพร้อมดอกเบี้ยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแสดงว่าในกรณีที่จำเลยที่1ประพฤติผิดเงื่อนไขและโจทก์เสียหายโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่1ในหนี้ที่ค้างชำระได้ดอกเบี้ยที่กำหนดตามหนังสือขอผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวจึงถือเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้ามีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ เมื่อจำเลยที่1ผิดนัดไม่ผ่อนชำระหนี้ตามจำนวนเงินและในเวลาที่กำหนดไว้จึงถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่1ได้โจทก์คิดดอกเบี้ยซึ่งเป็นเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีของต้นเงินที่จำเลยที่1ยังค้างชำระเบี้ยปรับจึงไม่สูงเกินส่วน จำเลยไม่ได้ยกปัญหาอายุความดอกเบี้ยค้างส่งขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การและปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2360/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งดุลพินิจศาลในการรอการลงโทษจำคุก ถือเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลย 10,000 บาท อีกสถานหนึ่ง แล้วรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 40,000 บาท จึงห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 การที่โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2360/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาที่ไม่ได้รับอนุญาตเนื่องจากศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษให้เบาลง และอยู่ในกรอบโทษที่กฎหมายกำหนด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย6เดือนศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้เป็นว่าให้ปรับจำเลย10,000บาทอีกสถานหนึ่งแล้วรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด2ปีเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค2ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน2ปีและปรับไม่เกิน40,000บาทจึงห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219การที่โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค2เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2299/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดิน: ศาลมีอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้คำขอท้ายฟ้องไม่ชัดเจน
เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีปัญหาเรื่องคำขอท้ายฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามอุทธรณ์ โจทก์และจำเลยทั้งสองมิได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดและโจทก์ฟ้องประสงค์ให้ศาลพิพากษาแบ่งที่ดินที่โจทก์และจำเลยทั้งสองถือกรรมสิทธิ์รวมกันตามส่วนของแต่ละคนที่มีกรรมสิทธิ์อยู่เป็นประการสำคัญแม้โจทก์ขอมาในคำขอท้ายฟ้องอย่างไรศาลย่อมมีอำนาจแบ่งให้ได้ตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1364ไม่เป็นการพิพากษาที่ไม่ตรงตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2044/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์เมื่อมีข้อขัดแย้งเรื่องสาระสำคัญ และการตกลงใหม่ยังไม่เป็นสัญญา
โจทก์ผู้ซื้อและจำเลยที่ 1 ผู้ขายมีเจตนาจะทำสัญญาซื้อขายเครื่องและอุปกรณ์บำบัดน้ำเสียกันเป็นหนังสือ จึงได้จัดทำหนังสือสัญญาซื้อขายขึ้น แต่จำเลยที่ 1 ขีดฆ่าข้อความยี่ห้อไนเฮาส์อันเป็นข้อสาระสำคัญออก โดยโจทก์ไม่ได้ยินยอมด้วย แสดงว่ายังมีข้อโต้แย้งกันในข้อนี้จนต้องมีการเจรจากันอีก ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกันในข้อดังกล่าว และทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันให้ถูกต้องสมบูรณ์ตามที่ตกลงกัน นับว่ายังมิได้มีสัญญาซื้อขายต่อกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 366

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถตามหลัง การเว้นระยะห่างเพื่อความปลอดภัย และความรับผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก
ก่อนเกิดเหตุมีผู้โดยสารเคาะกระจกให้จำเลยที่1จอดรถจำเลยที่1จึงจอดรถเข้าข้างทางให้ผู้โดยสารลงขณะที่ผู้โดยสารกำลังลงจากรถจำเลยที่2ก็ขับรถจักรยานยนต์แล่นมาชนท้ายรถของจำเลยที่1แม้จะฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่2ขับรถเร็วแต่พฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่าจำเลยที่2ขับรถจักรยานยนต์ตามหลังรถของจำเลยที่ 1ด้วยความประมาทโดยไม่เว้นระยะห่างพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถโดยปลอดภัยจำเลยที่2จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43(4),157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับขี่และการเว้นระยะห่างที่ปลอดภัย ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
ก่อนเกิดเหตุ มีผู้โดยสารเคาะกระจกให้จำเลยที่ 1 จอดรถจำเลยที่ 1 จึงจอดรถเข้าข้างทางให้ผู้โดยสารลง ขณะที่ผู้โดยสารกำลังลงจากรถจำเลยที่ 2 ก็ขับรถจักรยานยนต์แล่นมาชนท้ายรถของจำเลยที่ 1 แม้จะฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถเร็ว แต่พฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่า จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ตามหลังรถของจำเลยที่ 1 ด้วยความประมาทโดยไม่เว้นระยะห่างพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถโดยปลอดภัย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4), 157

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: การทำร้ายร่างกายและการแจ้งความเท็จ ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 150 วรรคสาม
จำเลยซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานทำร้ายผู้ตายแล้วไปแจ้งความว่าผู้ตายบุกรุก เจ้าพนักงานตำรวจนำตัวผู้ตายส่งโรงพยาบาล โดยขณะที่ผู้ตายถูกจำเลยทำร้ายนั้นผู้ตายมิได้เป็นผู้ต้องหาในข้อหาบุกรุก และมิได้อยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน แม้ผู้ตายจะถึงแก่ความตายในระหว่างที่เจ้าพนักงานตำรวจนำตัวส่งโรงพยาบาลก็ไม่ใช่กรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ จึงไม่ใช่กรณีที่ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญาหลังชันสูตรพลิกศพ: กรณีผู้ตายไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเจ้าพนักงานขณะถูกทำร้าย
ขณะที่ผู้ตายถูกทำร้าย ผู้ตายมิได้เป็นผู้ต้องหาและอยู่ในความควบคุมตัวของเจ้าพนักงาน แม้ผู้ตายจะถึง แก่ความตายในระหว่างที่เจ้าพนักงานตำรวจนำตัวส่งโรงพยาบาลก็ไม่ใช่กรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ จึงไม่ใช่กรณีที่ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 วรรคสาม เมื่อพนักงานสอบสวนและแพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้ว พนักงานอัยการโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
of 33