คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
โกษา ปิยสิรานนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 97 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความการแบ่งมรดกและการครอบครองทรัพย์สินร่วมกัน
ตามฟ้องสภาพแห่งข้อหาของโจทก์คือ ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นมรดกของท.โจทก์กับม.เป็นทายาทได้รับส่วนแบ่งคนละครึ่ง คำขอบังคับคือมรดกที่เรียกร้องคิดเป็นเงิน 800,000 บาท ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือม.ไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกที่ดินและบ้านทั้งหมดให้แก่จำเลยได้ที่โจทก์แก้ไขคำฟ้องโดยตัดข้อความที่ว่า "และครอบครองที่ดินแทนโจทก์ตลอดมา" ออกเป็นว่า "โจทก์และม.ได้ครอบครองและเก็บผลประโยชน์ในที่ดินพิพาทร่วมกันตลอดมาแต่ให้ม.ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนโจทก์ โจทก์ได้ติดต่อทวงถาม" โดยคงสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไว้ตามเดิมนั้นไม่ทำให้ประเด็นแห่งคดีเปลี่ยนไป ทั้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมเช่นนี้โจทก์ย่อมแก้ไขได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 วรรคท้าย ตั้งแต่ ท.จดทะเบียนรับโจทก์เป็นบุตรบุญธรรม โจทก์ได้ไปอยู่กับท.ในบ้านและที่ดินพิพาทตลอดมาโดยท.ประกอบอาชีพขายจาก และโจทก์ตัดจากในที่ดินพิพาทขายกับท.ด้วยเมื่อโจทก์เป็นบุตรบุญธรรมของท.บ้านและที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของท.เชื่อได้ว่าโจทก์ทำกินในที่ดินพิพาทร่วมกับท.และม.ด้วย นอกจากนั้นหลังจากท.ตามไป โจทก์ยังคงอยู่ในบ้านพิพาทและโจทก์เป็นผู้เก็บผลประโยชน์จากการตัดต้นสนในที่ดินพิพาทไปขายนำเงินไปมอบให้แก่ม.เพื่อช่วยเป็นค่าใช้จ่ายในการปลงศพท.การที่ท.ยังมิได้ยกบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือม.คนทั้งสองจึงอยู่อาศัยโดยทำกินในที่ดินพิพาทร่วมกันเท่านั้นเมื่อท.ตายไป บ้านและที่ดินพิพาทย่อมตกแก่โจทก์และ ม.การครอบครองอยู่อาศัยและทำกินต่อมาจึงเป็นการครอบครองแทนซึ่งกันและกัน แม้โจทก์จะมิได้คัดค้านการจดทะเบียนรับโอนมรดกของท.และมิได้ฟ้องคดีที่อายัดที่ดินพิพาท โจทก์ก็ยังคงมีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกท.ซึ่งตนเป็นเจ้าของร่วมได้ จะนำอายุความ1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754มาใช้บังคับไม่ได้ พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 24 บัญญัติบังคับว่าศาลอุทธรณ์ต้อง มีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคน จึงจะเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีได้ และแม้ในสำนวนจะไม่มีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เป็นต้นร่างก็ตามแต่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์โดยถ.ได้บันทึกรับรองว่าคดีนี้มีผู้พิพากษาสามคนได้ร่วมปรึกษาและมีความเห็นพ้องกันดังได้ลงลายมือชื่อไว้ในต้นร่างคำพิพากษาแล้วเมื่อจำเลยมิได้โต้เถียงว่าถ.มิใช่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ในขณะพิพากษา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่โจทก์แก้ฎีกาให้เอาบ้านและที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งแก่ตนครึ่งหนึ่งนั้น เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้มาศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาตามที่โจทก์ขอมาในคำแก้ฎีกานั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากถนนขาด จำเลยต้องติดตั้งป้ายเตือนและแสงสว่างเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ทาง
อุทกภัยตัดถนนในเขตเทศบาลจำเลยขาดก่อนที่ผู้ตายจะขับ รถจักรยานยนต์มาตกลงไปในช่วงที่ถนนขาดถึงแก่ความตายเป็นเวลา หลายเดือนแล้ว จำเลยมีโอกาสติดป้ายแสดงทางเบี่ยง จัดหา สิ่งกีดขวางใหญ่ ๆ มองได้ชัดในเวลากลางคืนมากีดขวางถนนไว้และ ต้องจัดการติดตั้งสัญญาณไฟเพื่อแสดงให้เห็นว่าถนนขาดเป็นการเตือนว่าจะเป็นอันตรายผู้สัญจรผ่านไปมาจะต้องระมัดระวัง แต่จำเลยไม่ทำ เป็นการละเว้นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ และกรณีไม่ได้เกิดเพราะเหตุสุดวิสัย ค่าปลงศพผู้ตายเป็นค่าสินไหมทดแทนซึ่งกฎหมายกำหนดให้ผู้ทำละเมิดต้องจ่าย โจทก์เป็นทายาทของผู้ตายมีหน้าที่จัดการศพผู้ตายไม่ว่าจะทำเองหรือมีผู้อื่นทำแทน หรือโจทก์จะได้ออกค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพด้วยตนเองหรือไม่ จำเลยก็ต้องรับผิดจ่ายค่าปลงศพแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเลยซ่อมถนนขาด-ติดป้ายเตือน เสี่ยงอันตรายแก่ผู้ใช้ทาง มีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
อุทกภัยตัดถนนในเขตเทศบาลจำเลยขาดก่อนที่ผู้ตายจะขับรถจักรยานยนต์มาตกลงไปในช่วงที่ถนนขาดถึงแก่ความตายเป็นเวลาหลายเดือนแล้วจำเลยมีโอกาสติดป้ายแสดงทางเบี่ยงจัดหาสิ่งกีดขวางใหญ่ๆมองได้ชัดในเวลากลางคืนมากีดขวางถนนไว้และต้องจัดการติดตั้งสัญญาณไฟเพื่อแสดงให้เห็นว่าถนนขาดเป็นการเตือนว่าจะเป็นอันตรายผู้สัญจรผ่านไปมาจะต้องระมัดระวังแต่จำเลยไม่ทำเป็นการละเว้นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อและกรณีไม่ได้เกิดเพราะเหตุสุดวิสัย ค่าปลงศพผู้ตายเป็นค่าสินไหมทดแทนซึ่งกฎหมายกำหนดให้ผู้ทำละเมิดต้องจ่ายโจทก์เป็นทายาทของผู้ตายมีหน้าที่จัดการศพผู้ตายไม่ว่าจะทำเองหรือมีผู้อื่นทำแทนหรือโจทก์จะได้ออกค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพด้วยตนเองหรือไม่จำเลยก็ต้องรับผิดจ่ายค่าปลงศพแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างขณะปฏิบัติงาน แม้ก่อนเวลาทำงานปกติ
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 บ.ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ขับรถยนต์และดูแลรถคันเกิดเหตุยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปทำงานโดยลำพังแต่ผู้เดียวแล้วจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ไปชนโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์บาดเจ็บ ได้รับอันตรายถึงสาหัส จำเลยที่ 1ขับรถยนต์ไปทำงานให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้าง แม้เหตุจะเกิดก่อนเวลาถึงเวลาทำงานตามปกติของร้านจำเลยที่ 2 ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้าง กรณีลูกจ้างขับรถชนบุคคลภายนอกขณะทำหน้าที่
บ. ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่2มีหน้าที่ขับรถยนต์ยินยอมให้จำเลยที่1ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่2ด้วยขับรถยนต์ของจำเลยที่2ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตนไปทำงานโดยลำพังแล้วเกิดเหตุชนโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์บาดเจ็บแม้เหตุจะเกิดก่อนเวลาทำงานปกติของจำเลยที่2ก็ถือได้ว่าจำเลยที่1ได้ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่2จำเลยที่2จึงต้องร่วมกับจำเลยที่1รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้างขณะปฏิบัติงาน แม้ก่อนเวลาทำงานปกติ
จำเลยที่1เป็นลูกจ้างของจำเลยที่2 บ. ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่2มีหน้าที่ขับรถยนต์และดูแลรถคันเกิดเหตุยินยอมให้จำเลยที่1ขับรถยนต์ของจำเลยที่2ไปทำงานโดยลำพังแต่ผู้เดียวแล้วจำเลยที่1ได้ขับรถยนต์ไปชนโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์บาดเจ็บได้รับอันตรายถึงสาหัสจำเลยที่1ขับรถยนต์ไปทำงานให้จำเลยที่2ซึ่งเป็นนายจ้างแม้เหตุจะเกิดก่อนเวลาถึงเวลาทำงานตามปกติของร้านจำเลยที่2ก็ถือได้ว่าจำเลยที่1ได้ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่2จำเลยที่2จึงต้องร่วมกับจำเลยที่1รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานเอกสารสำคัญ แม้ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน และไม่ได้ส่งสำเนาให้คู่ความอีกฝ่าย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้โจทก์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานเอกสารแต่เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่แสดงว่า ท. เป็นเจ้าของผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันเกิดเหตุทั้งเป็นเอกสารสำคัญศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)และแม้โจทก์จะไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้แก่จำเลยที่2และที่3ตามกฎหมายแต่เมื่อพยานเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อใช้ประกอบดุลพินิจที่จะฟังว่าโจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วเข้า รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยแล้วเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานเอกสารสำคัญ แม้ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน ป.วิ.พ. เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้โจทก์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานเอกสาร แต่เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่แสดงว่า ท.เป็นเจ้าของผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันเกิดเหตุ ทั้งเป็นเอกสารสำคัญ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) และแม้โจทก์จะไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามกฎหมาย แต่เมื่อพยานเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อใช้ประกอบดุลพินิจที่จะฟังว่าโจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยแล้วเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความละเมิด: การพิจารณาว่าข้อความที่บรรยายในคำฟ้องเป็นสภาพแห่งข้อหาหรือหลักแห่งข้อหา เพื่อกำหนดอายุความที่ใช้
ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายเป็นสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำความเท็จไปฟ้องโจทก์หลายศาลทำให้โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าจ้างทนายความในการต่อสู้คดีส่วนที่โจทก์บรรยายว่าจำเลยได้นำข้อความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาในข้อหาว่าร่วมกันหมิ่นประมาทซึ่งฟ้องในคดีอาญาล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้นนั้นข้อความดังกล่าวเป็นเพียงข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพื่อให้ฟ้องสมบูรณ์ขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองเท่านั้นหาได้เป็นสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ไม่ดังนั้นเมื่อคำฟ้องโจทก์เป็นการเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดโดยมิได้กล่าวในคำฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดในทางอาญาต่อโจทก์จะใช้อายุความทางอาญาที่ยาวกว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448วรรคสองไม่ได้ต้องใช้อายุความในมูลละเมิดตามมาตรา448วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความละเมิด: การพิจารณาจากวันที่รู้ถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำละเมิด, การนับอายุความจากมูลเหตุละเมิดไม่ใช่ความผิดทางอาญา
แม้โจทก์อุทธรณ์ คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้ยกปัญหาอายุความขึ้นเป็นประเด็นแห่งอุทธรณ์เนื่องจากศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยถึงปัญหาอายุความไว้แต่ คำแก้อุทธรณ์มีประเด็นที่จำเลยทั้งสองได้กล่าวแก้ว่าฟ้องโจทก์ ขาดอายุความด้วยเมื่อชั้น ชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้ กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าคดีโจทก์ ขาดอายุความหรือไม่ไว้การที่ศาลอุทธรณ์ยกปัญหา อายุความขึ้นวินิจฉัยจึงชอบแล้ว โจทก์ฟ้อง เรียกค่าเสียหายฐานละเมิดโดยมิได้กล่าวในคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดในทางอาญาต่อโจทก์คดีจึง นับอายุความทางอาญาที่ยาวกว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448วรรคสองไม่ได้
of 10