คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ทวีชัย เจริญบัณฑิต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 689 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5940/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองไม้สักแปรรูปโดยผู้ขับขี่รถบรรทุก แม้มีผู้อ้างเป็นเจ้าของ
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อ ได้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อรับจ้างบรรทุกไม้สักแปรรูปของกลางจากต่างจังหวัดมุ่งหน้าจะเข้ากรุงเทพมหานคร โดยมีบุคคลที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นเจ้าของไม้ขับรถยนต์เก๋งนำทาง แต่จำเลยที่ 1 ถูกจับกุมระหว่างทาง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้ครอบครองไม้สักแปรรูปของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5889/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกัน - การคิดดอกเบี้ย - ทวงถามหนี้ - อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย
พ. ทำสัญญารับสภาพหนี้ให้ไว้ต่อโจทก์โดยมิได้ตกลงให้คิดดอกเบี้ยกันในอัตราเท่าใดและไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของ พ. โดยในสัญญาค้ำประกันมิได้ระบุกำหนดเวลาชำระหนี้เช่นกัน ดังนี้ โจทก์จะต้องทวงถามจำเลยก่อน หากจำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงจะมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้และคิดได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามป.พ.พ. มาตรา 224 เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5871/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การว่าจ้างขนส่งสินค้าทางอากาศ: การร่วมประกอบธุรกิจและการรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
จำเลยติดต่อให้โจทก์จัดส่งสินค้าเสื้อผ้าโดยทางอากาศไปยังประเทศแคนาดาและจำเลยได้มอบเอกสารต่างๆให้แก่โจทก์ได้แก่ใบสุทธิคุ้มของที่ส่งออกใบอนุญาตให้ส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักรและใบอินวอยซ์ซึ่งปรากฏว่าเอกสารเหล่านี้ต่างระบุชื่อจำเลยเป็นผู้ส่งออกทั้งสิ้นโควต้าที่ใช้ส่งสินค้าออกก็ใช้โควต้าในนามของจำเลยและตามสัญญาระหว่างจำเลยกับบริษัทซ.ก็มีข้อตกลงว่าเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ผู้ซื้อในต่างประเทศออกให้แก่ผู้ขายจะต้องออกในนามของจำเลยถ้าหากเปิดมาในนามของบริษัทซ. ก็ต้องโอนมาให้แก่จำเลยและถ้าหากจำเลยได้จ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินพิธีการเพื่อส่งสินค้าออกและค่าใช้จ่ายอื่นทุกชนิดอันเกิดขึ้นเพื่อการส่งสินค้าออกไปก่อนก็สามารถเรียกให้บริษัทซ. ชำระได้ทันทีพฤติการณ์ของจำเลยที่เข้าไปเกี่ยวข้องดำเนินงานต่างๆเพื่อให้โจทก์ดำเนินการส่งออกซึ่งสินค้ารายพิพาทนี้มีลักษณะเป็นการร่วมประกอบธุรกิจกับบริษัทซ. จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5865/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้: ศาลไม่อนุมัติผู้จัดการทรัพย์สินหากทรัพย์สินนั้นไม่มีรายได้ประจำจากการประกอบธุรกิจ
แม้ที่ดินที่ถูกยึดมีตึกแถว3ชั้น2คูหาและห้องแถวไม้เก่าๆชั้นเดียวจำนวน8ห้องปลูกอยู่แต่จำเลยทั้งสองได้ใช้ตึกแถว2คูหาเป็นที่อยู่อาศัยและเก็บฟิล์มภาพยนต์เตรียมไปฉายต่างจังหวัดไม่ได้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมและกสิกรรมจำเลยทั้งสองมีรายได้จากการให้เช่าฟิลม์ภาพยนต์แสดงว่าตัวอสังหาริมทรัพย์นั้นเองในปัจจุบันมิได้มีรายได้ประจำปีจากการประกอบอุตสาหกรรมพาณิชยกรรมหรือกสิกรรมของลูกหนี้ตามคำพิพากษารายได้จากการให้เช่าฟิล์มภาพยนต์ไปฉายต่างจังหวัดก็มิใช่รายได้ประจำปีจากอสังหาริมทรัพย์ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอเป็นผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่จะมีคำสั่งตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์แทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา307

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5865/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้: ศาลไม่อนุมัติการจัดการทรัพย์สินหากทรัพย์สินนั้นไม่มีรายได้ประจำ
แม้ที่ดินที่ถูกยึดมีตึกแถว3ชั้น2คูหาและห้องแถวไม้เก่าๆชั้นเดียวจำนวน8ห้องปลูกอยู่แต่จำเลยทั้งสองได้ใช้ตึกแถว2คูหาเป็นที่อยู่อาศัยและเก็บฟิล์มภาพยนตร์เตรียมไปฉายต่างจังหวัดไม่ได้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมและกสิกรรมจำเลยทั้งสองมีรายได้จากการให้เช่าฟิล์มภาพยนตร์แสดงว่าตัวอสังหาริมทรัพย์นั้นเองในปัจจุบันมิได้มีรายได้ประจำปีจากการประกอบอุตสาหกรรมพาณิชยกรรมหรือกสิกรรมของลูกหนี้ตามคำพิพากษารายได้จากการให้เช่าฟิล์มภาพยนตร์ไปฉายต่างจังหวัดก็มิใช่รายได้ประจำปีจากอสังหาริมทรัพย์ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอเป็นผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่จะมีคำสั่งตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์แทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา307

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5865/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการทรัพย์สินยึด: รายได้จากเช่าฟิล์มไม่ถือเป็นรายได้จากอสังหาริมทรัพย์
แม้ที่ดินที่ถูกยึดมีตึกแถว 3 ชั้น 2 คูหา และห้องแถวไม้เก่า ๆชั้นเดียว จำนวน 8 ห้อง ปลูกอยู่ แต่จำเลยทั้งสองได้ใช้ตึกแถว 2 คูหา เป็นที่อยู่อาศัยและเก็บฟิล์มภาพยนตร์เตรียมไปฉายต่างจังหวัดไม่ได้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมและกสิกรรม จำเลยทั้งสองมีรายได้จากการให้เช่าฟิล์มภาพยนตร์ แสดงว่าตัวอสังหาริมทรัพย์นั้นเองในปัจจุบันมิได้มีรายได้ประจำปีจากการประกอบอุตสาหกรรมพาณิชยกรรมหรือกสิกรรมของลูกหนี้ตามคำพิพากษา รายได้จากการให้เช่าฟิล์มภาพยนตร์ไปฉายต่างจังหวัดก็มิใช่รายได้ประจำปีจากอสังหาริมทรัพย์ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอเป็นผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์ กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่จะมีคำสั่งตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์แทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินตาม ป.วิ.พ. มาตรา 307

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5741/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจสมบูรณ์แม้กรรมการเปลี่ยน, สัญญาค้ำประกัน, และดอกเบี้ยผิดสัญญา
ขณะทำหนังสือมอบอำนาจ ท. และ ย. มีอำนาจทำการผูกพันโจทก์จึงมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ เมื่อ ท. กับ ย. ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจ มอบอำนาจให้ ส. ฟ้องคดีแทนโจทก์ การมอบอำนาจจึงสมบูรณ์ แม้ต่อมาภายหลังจะปรากฏว่าขณะที่ ส.ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ท. จะพ้นจากตำแหน่งกรรมการไปแล้วก็ตามหนังสือมอบอำนาจก็ยังมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เพิกถอนหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว ส. จึงยังมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ได้
จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์โดยมีจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 แม้กรรมการชุดใหม่ของจำเลยที่ 1 จะได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีใหม่กับโจทก์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ซึ่งเป็นกรรมการชุดเก่าได้ทำไว้กับโจทก์
จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ได้บอกเลิกสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ตกลงยินยอมด้วย และในวันที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 บอกเลิกสัญญาค้ำประกันดังกล่าวต่อโจทก์ จำเลยที่ 1ยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ การบอกเลิกสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 เป็นการบอกเลิกสัญญาค้ำประกันทั้งหมดโดยมิได้มีการชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 ค้างโจทก์อยู่และมิใช่เป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้ที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ผู้ค้ำประกันจะใช้สิทธิบอกเลิกการค้ำประกันเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 699 สัญญาค้ำประกันจึงยังไม่ระงับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจำนองที่ดินไว้แก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 3ถึงที่ 10 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ด้วย สัญญาค้ำประกันระบุว่าผู้ค้ำประกันยอมสละที่จะต่อสู้ให้โจทก์บังคับเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกค้าก่อน ดังนั้นจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 จึงไม่อาจยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นอ้างได้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ได้โดยไม่ต้องฟ้องบังคับจำนองจากจำเลยที่ 1 ก่อน
โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 จากยอดหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีกระแสรายวัน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี แสดงว่าโจทก์ได้มีการเปลี่ยนแปลงและปรับอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตามข้อตกลงในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตลอดมาโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยได้ และยอดหนี้ที่โจทก์ฟ้องก็เป็นยอดหนี้ที่โจทก์คิดมาจากบัญชีกระแสรายวันภายหลังที่หักทอนบัญชีกันแล้ว ยอดหนี้ดังกล่าวจึงเป็นยอดหนี้ที่คิดดอกเบี้ยมาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะโจทก์คิดดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นอย่างมาก ทั้งเป็นการคิดดอกเบี้ยแบบทบต้นติดต่อกันตลอดมา จำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คหลายพันฉบับและโจทก์จ่ายเงินเกินบัญชีให้ไปและมีรายการที่จำเลยที่ 1 นำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนหนี้สินอีกหลายพันรายการ ยากที่ศาลฎีกาจะคิดต้นเงินและดอกเบี้ยที่ถูกต้องให้โจทก์ได้ซึ่งเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องคิดยอดหนี้มาให้ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่มีหน้าที่ต้องคิดยอดหนี้ที่ถูกต้องตามบัญชีกระแสรายวันดังกล่าวให้โจทก์ ดังนี้จึงต้องยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่นำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5697/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องในคดีทางพิพาท: ข้ออ้างใหม่ที่ไม่ใช่ประเด็นเดิม
ปัญหาที่ว่า โจทก์ใช้ทางพิพาทโดยครอบครองต่อจากเจ้าของเดิมตลอดมานั้น แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ก็เป็นข้อเท็จจริงในประเด็นข้ออ้างของโจทก์ที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นรายละเอียดของการใช้ทางพิพาทที่โจทก์มีสิทธินำสืบได้ในชั้นพิจารณา มิใช่ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
โจทก์นำสืบว่าทางพิพาทตกเป็นทางภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงอื่นที่โจทก์ซื้อมาจาก ล. มิใช่โจทก์ใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินตามฟ้อง จึงเป็นการนำสืบนอกคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5697/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ทางพิพาทและภารจำยอม: การนำสืบขยายผลเกินคำฟ้อง
ปัญหาที่ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยครอบครองต่อจากเจ้าของเดิมตลอดมานั้นแม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ก็เป็นข้อเท็จจริงในประเด็นข้ออ้างของโจทก์ที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นรายละเอียดของการใช้ทางพิพาทที่โจทก์มีสิทธินำสืบได้ในชั้นพิจารณามิใช่ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น โจทก์นำสืบว่าทางพิพาทตกเป็นทางภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงอื่นที่โจทก์ซื้อมาจากล. มิใช่โจทก์ใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินตามฟ้องจึงเป็นการนำสืบนอกคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5681/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินมีเงื่อนไขห้ามโอน สิทธิครอบครองยังไม่สมบูรณ์ การโอนสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีข้อกำหนดห้ามโอน 10 ปีตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 เป็นที่ดินที่รัฐยังไม่ได้มอบสิทธิครอบครองจนกว่าจะพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอน ผู้ที่ได้ที่ดินยังไม่มีสิทธิครอบครองไม่ว่าจะตามประมวลกฎหมายที่ดิน หรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่อาจโอนสิทธิครอบครองให้แก่บุคคลใด จะโอนกันได้ต่อเมื่อพ้นกำหนดเงื่อนไขห้ามโอนแล้ว เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกหรือโอนให้แก่ทบวงการเมือง องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือโอนให้แก่สหกรณ์เพื่อชำระหนี้โดยได้รับอนุมัติจากนายทะเบียนสหกรณ์การที่โจทก์อ้างว่า ย.ยกที่ดินและมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้ในระหว่างเวลาที่มีเงื่อนไขห้ามโอน ถือได้ว่า ย. ยังไม่มีสิทธิครอบครอง จึงไม่อาจโอนสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ได้ เมื่อ ย. ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทจึงตกทอดทางมรดกแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาท การที่โจทก์ยังคงครอบครองอยู่จึงเป็นการครอบครองแทนทายาทของ ย. โจทก์จะต้องเปลี่ยนลักษณะการครอบครองโดยบอกกล่าวไปยังทายาทของ ย. เพื่อเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครองแทนมาเป็นยึดถือครอบครองเพื่อตนเสียก่อนจึงจะได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
of 69