คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ทวีชัย เจริญบัณฑิต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 689 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3657/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีรวมทุนทรัพย์ และเจตนาการเช่าจากสัญญาจองอาคาร
คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่พร้อมกับเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระจากจำเลยถือได้ว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ส่วนหนึ่ง กับคดีมีทุนทรัพย์อีกส่วนหนึ่งปนกันมา ดังนี้จะอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ต้องแยกจากกัน ถ้าหากอุทธรณ์ประเด็นเรื่องขับไล่ต้องพิจารณาว่า ค่าเช่าเกินเดือนละ 4,000 บาท หรือไม่ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย มีอัตราค่าเช่าห้องละ 200 บาท ต่อเดือน จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสองส่วนที่ฟ้องเรียกค่าเช่าค้างชำระนั้น ต้องพิจารณาว่าเกิน 50,000 บาท หรือไม่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าเป็นเงิน 28,320 บาท แก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เป็นไปตามคำขอท้ายฟ้องเป็นจำนวนเงิน 51,600 บาท จึงเท่ากับขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนเงิน 23,280 บาท เท่านั้น ดังนั้น คงเหลือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันมาในชั้นอุทธรณ์มีจำนวนไม่เกิน 50,000 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน
สัญญาจองอาคารข้อ 5 ระบุว่า เมื่อผู้รับจองทำการก่อสร้างอาคารที่จองแล้วเสร็จ ผู้จองต้องเสียค่าอาคารและค่าบำรุงให้แก่ผู้รับจองตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ดังนี้ เจตนาของผู้จองและผู้รับจองหรือผู้เช่ากับผู้ให้เช่ามีเจตนาให้ผู้ที่จองอาคารได้อยู่ในอาคารเมื่อทำการก่อสร้างอาคารเสร็จแล้ว และนับแต่อาคารที่ให้จองสร้างเสร็จ โจทก์ในฐานะผู้รับจองหรือผู้ให้เช่าก็จะเรียกเก็บค่าเช่ากับค่าบำรุงจากผู้จองอาคารหรือผู้เช่าในทันที จำเลยทำสัญญาจองอาคารแล้วให้ ส.เข้าอยู่ในอาคารที่จองทันที หากจะนับระยะเวลาการเช่าโดยเริ่มนับตั้งแต่โจทก์จำเลยทำสัญญาเช่ากันตามสัญญาข้อ 4 ก็ไม่เป็นการแน่นอนว่าจะทำสัญญากันได้เมื่อใด เพราะเทศบาลเมืองฉะเชิงเทราเช่าที่ดินพิพาทแปลงนี้จากกรมธนารักษ์ซึ่งต่อมาเกิดมีข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินระหว่างกรมธนารักษ์กับสำนักงานทรัพย์สิน-ส่วนพระมหากษัตริย์ ต้องรอผลชี้ขาดถึงที่สุดก่อนจึงจะสามารถทำสัญญาเช่าต่อกันได้ เมื่อจำเลยให้ ส. เข้าอยู่ในอาคารที่จองและเสียค่าเช่าให้แก่โจทก์ตลอดมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี จนกระทั่งโจทก์มาฟ้องขับไล่ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์และจำเลยไม่ถือเป็นข้อสาระสำคัญที่จะทำสัญญาเช่าต่อกันหรือไม่ข้อสำคัญน่าจะถือการเข้าอยู่ในอาคารที่จองด้วยเจตนาที่จะให้มีอายุการเช่า20 ปี การทำสัญญาจองอาคารไว้โดยยังไม่ทำสัญญาเช่าต่อกัน แต่ผู้จองและผู้รับจองก็ได้ปฏิบัติเสมือนหนึ่งมีการเช่าทรัพย์แล้ว จึงต้องถือเจตนาของคู่สัญญาเป็นข้อสำคัญ อายุการเช่าจึงสมควรเริ่มนับแต่วันที่ทำสัญญาจองอาคารพิพาทเป็นต้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3289/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการทรัพย์สินมรดกที่เป็นสินสมรส การหักค่าใช้จ่าย และการแบ่งส่วนแบ่งให้ทายาท
การชำระหนี้ของเจ้ามรดกซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการจัดการมรดกด้วยเป็นการจัดการรวมกันไปและเกี่ยวเนื่องกันไม่อาจแยกออกจากกันได้เมื่อฟังได้ว่าการใช้หนี้ของเจ้ามรดกนั้นเป็นหนี้ร่วมจึงต้องนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เป็นค่าใช้จ่ายจริงไปหักจากจำนวนเงินที่จำหน่ายทรัพย์ทั้งหมดก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1362ส่วนที่เหลือจึงนำมาแบ่งครึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับเจ้ามรดกแล้วจึงนำส่วนของเจ้ามรดกมาแบ่งแก่ทายาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3289/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการหนี้สินมรดกและแบ่งสินสมรส
การชำระหนี้ของเจ้ามรดกซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการจัดการมรดกด้วย เป็นการจัดการรวมกันไปและเกี่ยวเนื่องกัน ไม่อาจแยกออกจากกันได้ เมื่อฟังได้ว่าการใช้หนี้ของเจ้ามรดกนั้นเป็นหนี้ร่วม จึงต้องนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เป็นค่าใช้จ่ายจริงไปหักจากจำนวนเงินที่จำหน่ายทรัพย์ทั้งหมดก่อน ตาม ป.พ.พ. มาตรา1362 ส่วนที่เหลือจึงนำมาแบ่งครึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับเจ้ามรดก แล้วจึงนำส่วนของเจ้ามรดกมาแบ่งแก่ทายาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3269/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการล้มละลายขาดอำนาจลงนามในคำร้อง แม้เป็นกรรมการของบริษัทผู้ร้อง
จำเลยที่2ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่17มีนาคม2530และคดีถึงที่สุดแล้วเมื่อจำเลยที่2ตกเป็นบุคคลล้มละลายจำเลยที่2ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่1ก็ต้องเป็นอันขาดจากตำแหน่งกรรมการจำเลยที่1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1154การที่จำเลยที่2ลงลายมือชื่อและประทับตราจำเลยที่1แต่งตั้งทนายความไปยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายหลังจากเป็นบุคคลล้มละลายแล้วเพื่อขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่1จึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3269/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการล้มละลายหมดอำนาจลงนามในฐานะกรรมการของบริษัท
จำเลยที่ 2 ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่17 มีนาคม 2530 และคดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อจำเลยที่ 2 ตกเป็นบุคคลล้มละลายจำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ก็ต้องเป็นอันขาดจากตำแหน่งกรรมการจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1154 การที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อและประทับตราจำเลยที่ 1 แต่งตั้งทนายความไปยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายหลังจากเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว เพื่อขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3128/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนมรดก พินัยกรรม และการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองที่ดิน
ม.ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ต่อมา ม. ยกที่ดินตามน.ส.3ซึ่งรวมที่ดินพิพาทอยู่ด้วยให้แก่ ป. จึงถือว่า ม.ได้โอนไปโดยสมบูรณ์ซึ่งทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งข้อกำหนดพินัยกรรมด้วยความตั้งใจแล้วข้อกำหนดพินัยกรรมที่ระบุยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ย่อมเป็นอันเพิกถอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1696วรรคหนึ่ง การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382จะมีได้เฉพาะที่ดินที่มีโฉนดที่ดินเท่านั้นที่ดินพิพาทเพิ่งออกโฉนดที่ดินเมื่อวันที่30กรกฎาคม2530การที่โจทก์ครอบครองก่อนหน้านี้แม้จะเกิน10ปีก็ ไม่ได้ กรรมสิทธิ์ เมื่อ นับระยะเวลาตั้งแต่วันออกโฉนดที่ดินพิพาทถึงวันฟ้องโจทก์ครอบครองยังไม่ครบ10ปีโจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3091/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีแพ่ง: ทุนทรัพย์พิพาทเกินสองแสนบาท
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงิน 2 จำนวน คือจำนวน 149,512.88 บาท กับจำนวน62,248.90 บาท เมื่อรวมแล้วเป็นเงินจำนวน 211,761.78 บาท แม้จะเกินสองแสนบาท แต่ในคำพิพาษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยยอมให้จำเลยหักค่าเช่าฉางและค่ากรรมกรขนข้าวที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยออกก่อนเป็นจำนวน66,280.97 บาท จึงเท่ากับว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเหลือเพียง145,480.81 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยตามฟ้องแย้งจำนวน 120,000.97 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2880/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางจำเป็นต้องเกิดขึ้นจากที่ดินแปลงเดิมที่แบ่งแยก หากแบ่งแยกแล้วติดถนนสาธารณะ ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องทางจำเป็นจากที่ดินแปลงอื่น
ที่ดินโฉนดเลขที่ 23454 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 23455ได้แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2336 เมื่อแยกออกมาแล้วทางทิศใต้ของที่ดินทั้ง 2 แปลงต่างอยู่ติดซอยสาธารณะ ต่อมาโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดเลขที่ 23455แล้วเพิ่งแบ่งแยกที่ดินกันเองในเวลาต่อมาออกเป็น 3 แปลงคือ แปลงในสุดซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือโฉนดเลขที่ 209886 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 แปลงกลางโฉนดเลขที่ 209887เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 เป็นเหตุให้ที่ดินแปลงในสุดและแปลงกลางไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่23455 ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ซอยสาธารณะตามเดิมเช่นนี้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 209886 และโจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 209887 ชอบที่จะเรียกร้องเอาทางเดินได้เฉพาะที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 23455 ของโจทก์ที่ 3 ที่ได้แบ่งแยกมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1350 หาใช่เรียกร้องทางเดินจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 23455 ของจำเลยไม่ ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยจึงไม่ตกเป็นทางจำเป็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2880/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องทางเดิน (ทางจำเป็น/ภาระจำยอม) เกิดขึ้นจากการแบ่งแยกที่ดิน ไม่ใช่การใช้ทางเดิม
ที่ดินโฉนดเลขที่23454กับที่ดินโฉนดเลขที่23455ได้แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่2336เมื่อแยกออกมาแล้วทางทิศใต้ของที่ดินทั้ง2แปลงต่างอยู่ติดซอยสาธารณะต่อมาโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดเลขที่23455แล้วเพิ่งแบ่งแยกที่ดินกันเองในเวลาต่อมาออกเป็น3แปลงคือแปลงในสุดซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือโฉนดเลขที่209886เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่1และที่2แปลงกลางโฉนดเลขที่209887เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่3เป็นเหตุให้ที่ดินแปลงในสุดและแปลงกลางไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะส่วนที่ดินโฉนดเลขที่23455ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ติดซอยสาธารณะตามเดิมเช่นนี้โจทก์ที่1และที่2ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงโฉนดเลขที่209886และโจทก์ที่3ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงโฉนดเลขที่209887ชอบที่จะเรียกร้องเอาทางเดินได้เฉพาะที่ดินแปลงโฉนดเลขที่23455ของโจทก์ที่3ที่ได้แบ่งแยกมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1350หาใช่เรียกร้องทางเดินจากที่ดินตามโฉนดเลขที่23454ของจำเลยไม่ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยจึงไม่ตกเป็นทางจำเป็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2806/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษและการรวมโทษในความผิดหลายกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 และ 91
อัตราโทษสูงสุดตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91กำหนดไว้ถ้าเป็นกรณีที่มีการเพิ่มโทษหรือลดโทษจะต้องนำมาใช้ เมื่อมีการเพิ่มโทษหรือลดโทษแล้ว มิใช่ต้องปรับบทมาตรา 91 เสียก่อน แล้วจึงจะเพิ่มหรือลดโทษ เมื่อศาลชั้นต้นลงโทษ จำคุกจำเลย 33 กระทง กระทงละ 1 ปี เป็นจำคุก 33 ปีลดโทษตามมาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 24 ปี 9 เดือนแล้วจึงนำบทบัญญัติมาตรา 91(2) มาปรับเป็นว่าจำคุกจำเลย20 ปี เป็นการชอบแล้ว
of 69