คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ทวีชัย เจริญบัณฑิต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 689 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลังจำเลยรับสารภาพ, ปัญหาข้อเท็จจริงสำคัญที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 277วรรคสาม มีอัตราโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ยังต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 176 วรรคแรก ข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่จึงยังไม่ยุติ เมื่อจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำชำเราโดยมิได้ใช้อาวุธ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในปัญหานี้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอีกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานชำเราเด็ก และการวินิจฉัยประเด็นการใช้อาวุธโดยศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา277วรรคสามมีอัตราโทษจำคุกตลอดชีวิตแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพศาลก็ยังต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา176วรรคแรกข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่จึงยังไม่ยุติเมื่อจำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยกระทำชำเราโดยมิได้ใช้อาวุธแต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในปัญหานี้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอีกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 816/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร จำเลยต้องพิสูจน์เหตุสุดวิสัย
กระแสไฟฟ้าเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพเมื่อกระแสไฟฟ้าลัดวงจรเกิดขึ้นที่บ้านของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองจึงเป็นผู้มีไว้ในครอบครองของตนซึ่งกระแสไฟฟ้าดังกล่าวและต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่กระแสไฟฟ้าลัดวงจรเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา437วรรคสองจำเลยทั้งสองนำสืบเพียงว่าจำเลยทั้งสองดูแลรักษาสายไฟฟ้าภายในบ้านให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัยอยู่เสมอและเพิ่งเปลี่ยนสายไฟฟ้าภายในบ้านใหม่ขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในบ้านของจำเลยทั้งสองไม่ได้ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อและไฟฟ้าลัดวงจรเกิดขึ้นได้อย่างไรไม่ทราบดังนี้ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองแสดงไม่ได้เลยว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดิน น.ส.3 ยังไม่สมบูรณ์หากไม่จดทะเบียน แม้ผู้ให้ได้แสดงเจตนาแล้ว
ท. ประสงค์จะยกที่ดินน.ส.3ให้แก่โจทก์โดยการทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา525และประมวลกฎหมายที่ดินฯมาตรา4ทวิคือต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่การให้จึงยังไม่สมบูรณ์โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรม และในฐานะ ผู้จัดการมรดกของ ท.จดทะเบียนการให้แก่โจทก์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 565/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความเท็จ ศาลต้องพิจารณาตามประเด็นที่กล่าวหาในฟ้อง หากพิจารณาเกินเลยประเด็นฟ้อง ถือเป็นข้อผิดพลาดทางกฎหมาย
ตามคำฟ้องข้อความที่โจทก์กล่าวหาจำเลยว่าเบิกความเท็จคือข้อความว่าโจทก์ออกเช็คชำระหนี้เงินกู้ยืมซึ่งความจริงเป็นกรณีที่โจทก์มอบเช็คให้ภริยาโจทก์นำไปให้จำเลยยึดถือเป็นประกันการเล่นแชร์แต่ศาลล่างทั้งสองกลับวินิจฉัยโดยถือข้อความว่าจำเลยมอบเช็คให้ จ. ไปเรียกเก็บเงินแทนซึ่งความจริง จ.เป็นผู้ทรงเช็คแท้จริงจึงเป็นเรื่องนอกประเด็นการวินิจฉัยดังกล่าวเป็นกรณีมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการพิพากษาคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 366/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำแนวเขตที่ดินและผลกระทบต่อแสงสว่าง/ลมในที่ดินข้างเคียง ศาลพิจารณาความเดือดร้อนตามสภาพแวดล้อมและแก้ไขได้
แม้จำเลยจะได้ก่อสร้างตึกแถวชิดแนวเขตที่ดินเกินไปแต่ก็มิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์และโจทก์เองก็ได้ปลูกบ้านชิดแนวเขตมากเกินไปด้วยโจทก์จึงมีส่วนผิดอยู่ด้วยปรากฏว่าหลังคาตึกแถวจำเลยสูงกว่าหลังคาบ้านโจทก์เพียง1เมตรและยังมีช่องให้แสงสว่างเข้าได้พอสมควรซึ่งลมก็ย่อมจะพัดผ่านบ้านโจทก์ได้บ้างแม้ไม่มากเหมือนดังเดิมทั้งไม่ปรากฏว่าตึกแถวจำเลยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องลมหรือแสงสว่างแต่อย่างใดและในสภาวะที่บ้านโจทก์สร้างด้วยไม้ย่อมแก้ไขปรับปรุงได้ไม่ยากซึ่งก็ปรากฏว่าโจทก์ได้แก้ไขหน้าต่างไปแล้วในสภาพที่เป็นชุมชนผู้ที่อยู่อาศัยย่อมจะต้องยอมรับความลำบากอยู่บ้างฉะนั้นเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่ของบ้านโจทก์และจำเลยมาคำนึงประกอบแล้วเห็นว่าโจทก์มิได้เดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 366/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การก่อสร้างรุกล้ำแนวเขตและผลกระทบต่อแสงสว่าง-ลม โจทก์มีส่วนผิดและผลกระทบไม่ร้ายแรง
แม้จำเลยจะได้ก่อสร้างตึกแถวชิดแนวเขตที่ดินเกินไป แต่ก็มิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ และโจทก์เองก็ได้ปลูกบ้านชิดแนวเขตมากเกินไปด้วย โจทก์จึงมีส่วนผิดอยู่ด้วย ปรากฏว่าหลังคาตึกแถวจำเลยสูงกว่าหลังคาบ้านโจทก์เพียง 1 เมตรและยังมีช่องให้แสงสว่างเข้าได้พอสมควร ซึ่งลมก็ย่อมจะพัดผ่านบ้านโจทก์ได้บ้างแม้ไม่มากเหมือนดังเดิม ทั้งไม่ปรากฏว่าตึกแถวจำเลยมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องลมหรือแสงสว่างแต่อย่างใด และในสภาวะที่บ้านโจทก์สร้างด้วยไม้ย่อมแก้ไขปรับปรุงได้ไม่ยาก ซึ่งก็ปรากฏว่าโจทก์ได้แก้ไขหน้าต่างไปแล้ว ในสภาพที่เป็นชุมชนผู้ที่อยู่อาศัยย่อมจะต้องยอมรับความลำบากอยู่บ้าง ฉะนั้นเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่ของบ้านโจทก์และจำเลยมาคำนึงประกอบแล้ว เห็นว่าโจทก์มิได้เดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิไถ่ทรัพย์ขายฝาก: การไปสำนักงานที่ดินพร้อมเงินคือการใช้สิทธิ แม้ถอนเงินวางทรัพย์
เมื่อโจทก์จำเลยท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะก็ต้องพิจารณาถึงข้อความที่ท้าต่อกันตามรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นจดไว้ปรากฏข้อความในตอนต้นว่า"พฤติการณ์ตามคำฟ้องที่ถึงกำหนดนัดไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทโจทก์ได้ไปทำการไถ่ถอนณสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขา บางขุนเทียน แล้วแต่จำเลยไม่ไปตามนัด"จากข้อความดังกล่าวแสดงว่าจำเลยได้ยอมรับข้อเท็จจริงแล้วว่าได้มีการนัดวันที่ไปจดทะเบียนไถ่ถอนแล้วแต่จำเลยในฐานะผู้รับซื้อฝากไม่ไปตามนัดเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปอีกว่าโจทก์ได้นำเงินจำนวน125,000บาทไปวางไว้ณสำนักงานวางทรัพย์กลางยิ่งเป็นข้อชี้ชัดว่าโจทก์มีเงินพร้อมที่จะชำระให้แก่จำเลยตามสัญญาขายฝากในวันครบกำหนดนั้นแล้วถือว่าโจทก์ผู้ขายฝากพร้อมที่จะไถ่ถอนได้ภายในกำหนดแล้วแต่เป็นเพราะจำเลยไม่ไปรับไถ่ตามพฤติการณ์แห่งข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันดังกล่าวฟังได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิขอไถ่ที่ดินพิพาทจากจำเลยภายในกำหนดเวลาตามสัญญาขายฝากแล้วแม้ผู้ขายฝากจะถอนเงินที่วางไว้คืนไปก็ไม่ใช่กรณีที่จะนำมาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิไถ่คืนการวางทรัพย์เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้ขายฝากมีเงินมาทำการไถ่คืนทรัพย์สินที่ขายฝากกับผู้รับซื้อฝากแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิไถ่ที่ดินขายฝาก: โจทก์พร้อมชำระเงินแต่จำเลยไม่ไปรับไถ่ ถือเป็นการใช้สิทธิไถ่แล้ว
เมื่อโจทก์จำเลยท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะ ก็ต้องพิจารณาถึงข้อความที่ท้าต่อกัน ตามรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นจดไว้ปรากฏข้อความในตอนต้นว่า "พฤติการณ์ตามคำฟ้องที่ถึงกำหนดนัดไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทโจทก์ได้ไปทำการไถ่ถอน ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางขุนเทียนแล้ว แต่จำเลยไม่ไปตามนัด" จากข้อความดังกล่าวแสดงว่าจำเลยได้ยอมรับข้อเท็จจริงแล้วว่า ได้มีการนัดวันที่ไปจดทะเบียนไถ่ถอนแล้ว แต่จำเลยในฐานะผู้รับซื้อฝากไม่ไปตามนัด เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปอีกว่า โจทก์ได้นำเงินจำนวน 125,000 บาท ไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง ยิ่งเป็นข้อชี้ชัดว่า โจทก์มีเงินพร้อมที่จะชำระให้แก่จำเลยตามสัญญาขายฝากในวันครบกำหนดนั้นแล้ว ถือว่า โจทก์ผู้ขายฝากพร้อมที่จะไถ่ถอนได้ภายในกำหนดแล้ว แต่เป็นเพราะจำเลยไม่ไปรับไถ่ ตามพฤติการณ์แห่งข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันดังกล่าว ฟังได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิขอไถ่ที่ดินพิพาทจากจำเลยภายในกำหนดเวลาตามสัญญาขายฝากแล้ว แม้ผู้ขายฝากจะถอนเงินที่วางไว้คืนไป ก็ไม่ใช่กรณีที่จะนำมาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิไถ่คืน การวางทรัพย์เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่า ผู้ขายฝากมีเงินมาทำการไถ่คืนทรัพย์สินที่ขายฝากกับผู้รับซื้อฝากแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: ผู้ถูกทำร้ายมีสิทธิป้องกันตนเองเมื่อถูกทำร้ายก่อน
ฝ่ายผู้เสียหายเป็นฝ่ายหาเหตุ และเป็นฝ่ายเข้าตีทำร้ายร่างกายฝ่ายจำเลยทั้งสี่ก่อน เมื่อผู้เสียหายกับพวกเข้าทำร้ายก่อนโดยละเมิดต่อกฎหมายเช่นนี้ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายอันเป็นภัยที่ใกล้จะถึงเช่นนั้นได้ เมื่อฝ่ายจำเลยทั้งสี่มีจำนวนคนน้อยกว่าฝ่ายผู้เสียหาย ประกอบกับอาวุธที่ใช้กันก็เป็นพลั่ว จอบเสียม และมีด อันมีสภาพเป็นเครื่องมือสำหรับชาวนาใช้ในการทำนา ซึ่งปกติมีติดตัวอยู่ และบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับก็ไม่ร้ายแรงมากนัก จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 295และ 297
ปรากฎตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสี่แถลงหมดพยานบุคคล คงติดใจที่จะขอให้นำสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่2558-2559/2533 ของศาลชั้นต้นมาผูกรวมติดเข้ากับสำนวนคดีนี้ ศาลชั้นต้นอนุญาต ดังนี้ เมื่อจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้วและยังสืบพยานจำเลยทั้งสี่ไม่เสร็จ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิต่อสู้คดีอย่างเต็มที่โดยอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้อีกแม้จำเลยทั้งสี่จะมิได้ระบุอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานโดยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมไว้ แต่การที่จำเลยทั้งสี่แถลงดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยทั้งสี่อย่างแจ้งชัดว่าประสงค์จะอ้างสำนวนคดีอาญานั้นทั้งสำนวนเป็นพยานหลักฐานของจำเลยในคดีนี้ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้นำสำนวนคดีอาญาดังกล่าวมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้ สำนวนคดีอาญานั้นจึงเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้แล้ว เมื่อคำเบิกความของ พ. อยู่ในสำนวนคดีอาญานั้นด้วย คำเบิกความของ พ.คดีดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ ชอบที่ศาลจะนำมาฟังประกอบการวินิจฉัยคดีนี้ได้
of 69