พบผลลัพธ์ทั้งหมด 689 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ เมื่อฝ่ายผู้เสียหายเป็นผู้เริ่มทำร้ายและมีจำนวนมากกว่า
ผู้เสียหายกับพวกมีเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าเป็นพวกเดียวกันร้องรำทำเพลงอันมีลักษณะเตรียมการล่วงหน้ากันมาก่อนแล้วปลูกต้นกล้วยในทางที่รู้ว่าจำเลยกับพวกจะต้องผ่านเมื่อจำเลยกับพวกขอผ่านเพื่อกลับบ้านผู้เสียหายกับพวกไม่ยอมหลีกทางให้และเข้าทำร้ายจำเลยกับพวกซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าก่อนจึงเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ทั้งอาวุธที่จำเลยกับพวกใช้ก็เป็นเพียงเครื่องใช้ปกติในการประกอบอาชีพและบาดแผลที่ผู้เสียหายกับพวกได้รับไม่ร้ายแรงมากนักถือว่าจำเลยป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุจำเลยจึงไม่มีความผิด จำเลยได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้วและยังสืบพยานไม่เสร็จได้ขอให้นำสำนวนคดีอาญาอื่นมาผูกรวมกับสำนวนโดยจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานส่วนนี้เพิ่มเติมศาลอนุญาตดังนี้สำนวนคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้แล้วศาลชอบที่จะนำคำเบิกความของพยานบุคคลในสำนวนนั้นมาฟังประกอบวินิจฉัยคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานขายและมีไว้เพื่อขายยาเสพติดเป็นกรรมเดียว ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขโทษ
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา4บัญญัตินิยามคำว่า"ขาย"หมายความรวมถึงจำหน่ายจ่ายแจกแลกเปลี่ยนส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขายฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายจึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันการที่จำเลยขาย เมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับจำนวน4เม็ดและต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันค้นพบได้ที่ตัวจำเลยจำนวน60เม็ดกับในห้องพักของจำเลยอีกจำนวน1,100เม็ดเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสามจำนวนถือเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวคือการขายนั่นเองแม้จำเลยให้การรับสารภาพว่าขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนเป็นสองกรรมตามฟ้องแต่กรณีนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา225ประกอบกับมาตรา195วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานขายและมีเมทแอมเฟตามีนครอบครองเพื่อขายเป็นกรรมเดียว ศาลฎีกายกเหตุผลที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์วินิจฉัยผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและฐานขาย เมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ในประเภท2ซึ่ง พระราชบัญญัติ วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518มาตรา13ทวิบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดผลิตขายนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2และมีบทกำหนดโทษตามมาตรา89กับมาตรา62วรรคหนึ่งบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ใดๆซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ทุกประเภทและมีบทกำหนดโทษตามมาตรา106ทวิและมาตรา4ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า"ขาย"ว่าหมายความรวมถึงจำหน่ายจ่ายแจกแลกเปลี่ยนส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขายฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายจึงเป็นความผิดอย่างเดียวกัน การที่จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ สายลับจำนวน4เม็ดต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันค้นพบได้ในตัวจำเลยจำนวน60เม็ดและค้นได้ในห้องพักของจำเลยอีกจำนวน1,100เม็ดเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสามจำนวนจึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกันการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิด กรรมเดียว คือการขายนั่นเองจำเลยหาได้มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน1,160เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อขายอีกกรรมหนึ่งแต่อย่างใดไม่แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องว่าขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนเป็น2กรรมก็ตามแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา225ประกอบมาตรา195วรรคสองที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเป็นอีกกรรมหนึ่งจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขายจำนวน1,160เม็ดนั้นก็คือการฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวให้หนักขึ้นนั่นเองเมื่อความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน4เม็ดให้แก่สายลับกับความผิดฐานเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน1,160เม็ดที่ยึดได้ในภายหลังเป็นความผิดกรรมเดียวกันศาลฎีกากำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่รูปคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวความผิดเดียว: การขายและมีไว้เพื่อขายยาเสพติด เมทแอมเฟตามีน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและฐานขายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ในประเภท 2ซึ่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2และมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 89 กับมาตรา 62 วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ใด ๆ ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ทุกประเภท และมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 106 ทวิ และมาตรา 4 ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า"ขาย" ว่า หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขาย ฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายจึงเป็นความผิดอย่างเดียวกัน
การที่จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับจำนวน 4 เม็ดต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันค้นพบได้ในตัวจำเลยจำนวน 60 เม็ด และค้นได้ในห้องพักของจำเลยอีกจำนวน 1,100 เม็ด เมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสามจำนวนจึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดกรรมเดียว คือการขายนั่นเอง จำเลยหาได้มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,160 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อขายอีกกรรมหนึ่งแต่อย่างใดไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องว่าขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนเป็น 2 กรรม ก็ตามแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเป็นอีกกรรมหนึ่งจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขายจำนวน 1,160 เม็ด นั้น ก็คือการฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวให้หนักขึ้นนั่นเอง เมื่อความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 4 เม็ด ให้แก่สายลับกับความผิดฐานเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,160 เม็ด ที่ยึดได้ในภายหลัง เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ศาลฎีกากำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่รูปคดีได้
การที่จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับจำนวน 4 เม็ดต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันค้นพบได้ในตัวจำเลยจำนวน 60 เม็ด และค้นได้ในห้องพักของจำเลยอีกจำนวน 1,100 เม็ด เมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสามจำนวนจึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดกรรมเดียว คือการขายนั่นเอง จำเลยหาได้มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,160 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อขายอีกกรรมหนึ่งแต่อย่างใดไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องว่าขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนเป็น 2 กรรม ก็ตามแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเป็นอีกกรรมหนึ่งจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขายจำนวน 1,160 เม็ด นั้น ก็คือการฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวให้หนักขึ้นนั่นเอง เมื่อความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 4 เม็ด ให้แก่สายลับกับความผิดฐานเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,160 เม็ด ที่ยึดได้ในภายหลัง เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ศาลฎีกากำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่รูปคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 72/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซื้อขายไม่อาจถือเป็นฟ้องซ้อนคดีอาญาฉ้อโกง แม้คำขอท้ายฟ้องคล้ายกัน หากมูลเหตุต่างกัน
โจทก์ได้ผลิตกระเป๋าส่งมอบให้แก่จำเลยรับไปครบถ้วนตามสัญญาซื้อขายแล้วแต่จำเลยยังค้างชำระค่ากระเป๋าอยู่อีกร้อยละ75โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยชำระราคาทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งจำเลยซื้อไปและยังไม่ได้ชำระราคาได้แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยเจตนาฉ้อโกงก็เป็นการบรรยายฟ้องในลักษณะเล่าเรื่องตามความเข้าใจของโจทก์เองว่าถูกจำเลยหลอกลวงให้ทำกระเป๋าโดยจ่ายเงินเพียงร้อยละ25ของราคาทั้งหมดการจะปรับข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าเข้าลักษณะสัญญาหรือละเมิดเป็นข้อหารือบทเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับกฎหมายเองแม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่าเป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืนหรือใช้ราคาก็หาเป็นเรื่องละเมิดเสมอไปไม่ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายศาลมีอำนาจวินิจฉัยไปตามฟ้องได้ว่าเป็นเรื่องซื้อขายไม่เป็นการนอกฟ้อง ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานร่วมกันฉ้อโกงและขอให้คืนหรือใช้ราคาเงินค่ากระเป๋าที่ฉ้อโกงซึ่งเป็นผู้เสียหายไปศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องแต่การขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้ผู้เสียหายที่พนักงานอัยการขอมาแม้จะถือว่าเป็นการขอแทนโจทก์ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา43ก็ตามแต่ก็เป็นกรณีที่ความเสียหายนั้นเนื่องจากการกระทำผิดอาญาเท่านั้นส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาซื้อขายที่เป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องในมูลแห่งสัญญาซื้อขายที่มีต่อกันอยู่ในคดีอาญาดังกล่าวกับคดีนี้ถึงแม้คำขอบังคับจะมีการขอคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นอย่างเดียวกันก็ตามแต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาก็มิได้เป็นอย่างเดียวกันซึ่งในคดีอาญาข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อที่พนักงานอัยการขอบังคับในส่วนแพ่งมาจากการกระทำผิดอาญาอันเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้ละเมิดอันเกิดจากข้อกล่าวหาว่าฉ้อโกงแต่คดีนี้มีที่มาจากมูลหนี้แห่งสัญญาซื้อขายโดยโจทก์เรียกร้องเอามูลค่าทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยยังค้างชำระอยู่มิใช่ฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสอง(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 72/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายกับฟ้องซ้อน: ศาลวินิจฉัยฟ้องซื้อขายไม่ซ้ำซ้อนกับคดีอาญาฉ้อโกง แม้คำขอท้ายฟ้องเหมือนกัน
โจทก์ประกอบธุรกิจรับผลิตกระเป๋าหนังเมื่อมีลูกค้าสั่งทำสั่งซื้อโจทก์ก็จะผลิตตามที่ลูกค้ากำหนดแล้วส่งมอบให้แก่ลูกค้าการที่จำเลยที่1ในฐานะลูกค้าสั่งให้โจทก์ผลิตกระเป๋าส่งให้ความสัมพันธ์จึงมีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายมิใช่สัญญาจ้างทำของเมื่อโจทก์ผลิตกระเป๋าส่งมอบให้แก่จำเลยที่1รับไปครบถ้วนแล้วแต่จำเลยที่1ยังค้างชำระค่ากระเป๋าอยู่อีกโจทก์จึงชอบจะฟ้องให้จำเลยที่1ชำระราคาทรัพย์สินได้แม้จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยเจตนาฉ้อโกงโจทก์จึงขอเรียกทรัพย์คืนหรือให้ใช้ราคาก็เป็นความเข้าใจของโจทก์เองว่าถูกจำเลยหลอกลวงตามข้อตกลงการปรับข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าเข้าลักษณะสัญญาหรือละเมิดเป็นหน้าที่ของศาลศาลมีอำนาจวินิจฉัยไปตามฟ้องได้ฉะนั้นการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่1ใช้ราคาจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องและเกินคำขอ แม้โจทก์จะเคยเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีที่ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงและขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ฉ้อโกงไปก็ตามแต่การขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ในคดีดังกล่าวเป็นกรณีที่ความเสียหายเนื่องมาจากการกระทำผิดอาญาเท่านั้นส่วนคดีนี้แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์จะมีการขอคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นอย่างเดียวกันแต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามิได้เป็นอย่างเดียวกันโดยข้ออ้างที่พนักงานอัยการขอบังคับในส่วนแพ่งเป็นการกระทำผิดอาญาอันเกิดจากข้อกล่าวหาว่าฉ้อโกงซึ่งเป็นมูลหนี้ละเมิดแต่คดีนี้มีที่มาจากมูลหนี้แห่งสัญญาซื้อขายจึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173วรรคสอง(1)และไม่เป็นฟ้องซ้ำด้วยเพราะขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้คดีอาญาดังกล่าวยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 72/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างระหว่างมูลหนี้สัญญาซื้อขายกับมูลหนี้ละเมิด: การฟ้องเรียกราคาซื้อขายไม่เป็นการฟ้องซ้อน
ตามคำฟ้องบรรยายว่า โจทก์ประกอบธุรกิจรับผลิตกระเป๋าหนังเมื่อมีลูกค้าสั่งทำสั่งซื้อ โจทก์ก็จะทำการผลิตตามที่ลูกค้ากำหนดแล้วส่งมอบให้แก่ลูกค้าเมื่อจำเลยในฐานะลูกค้าสั่งให้โจทก์ผลิตกระเป๋าส่งให้ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยต่างมีเจตนาให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์คือกระเป๋าหนังโดยโจทก์ในฐานะผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่จำเลยในฐานะผู้ซื้อและผู้ซื้อตอบแทนด้วยการใช้ราคา อันมีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขาย มิใช่เป็นสัญญาจ้างทำของ
โจทก์ได้ผลิตกระเป๋าส่งมอบให้แก่จำเลยรับไปครบถ้วนตามข้อตกลงแล้ว แต่จำเลยยังค้างชำระค่ากระเป๋าอยู่อีกร้อยละ 75 โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยชำระราคาทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งจำเลยซื้อไปและยังไม่ได้ชำระราคาได้ แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยเจตนาฉ้อโกงโจทก์ก็เป็นการบรรยายฟ้องในลักษณะเล่าเรื่องตามความเข้าใจของโจทก์เองว่าถูกจำเลยหลอกลวงให้ทำกระเป๋าโดยจ่ายเงินเพียงร้อยละ 25 ของราคาทั้งหมด การจะปรับข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าเข้าลักษณะสัญญาหรือละเมิดนั้นเป็นข้อหารือบทเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทกฎหมายเอง แม้จะกล่าวในฟ้องว่าเป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืนหรือใช้ราคาก็หาเป็นเรื่องละเมิดเสมอไปไม่ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย และศาลมีอำนาจวินิจฉัยไปตามฟ้องได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นและไม่เกินคำขอ
ในคดีอาญาเรื่องก่อน พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกง และขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ฉ้อโกงไป ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง แต่การขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้ผู้เสียหายที่พนักงานอัยการขอมาในคำฟ้องคดีอาญานั้น แม้จะถือว่าเป็นการขอแทนผู้เสียหาย ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ.มาตรา 43 ก็ตาม แต่ก็เป็นกรณีที่ความเสียหายนั้นเนื่องมาจากการกระทำผิดอาญาเท่านั้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาซื้อขายที่ทำให้เป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องในมูลแห่งสัญญาซื้อขายที่มีต่อกันอยู่ ในคดีอาญาดังกล่าวกับคดีนี้ถึงแม้คำขอบังคับจะมีการขอคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นอย่างเดียวกันคือขอให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์กระเป๋าหนังที่จำเลยรับไป แต่ยังค้างชำระราคาแก่โจทก์อยู่ แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามิได้เป็นอย่างเดียวกัน เพราะในคดีอาญานั้นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่พนักงานอัยการขอบังคับในส่วนแพ่งเป็นที่เห็นได้ว่ามาจากข้ออ้างเนื่องจากการกระทำผิดอาญาอันเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้ละเมิดอันเกิดจากข้อกล่าวหาว่าฉ้อโกง ส่วนคดีนี้มีที่มาจากมูลหนี้แห่งสัญญาซื้อขาย โดยโจทก์เรียกร้องเอามูลค่าทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยยังค้างชำระราคาอยู่ มิใช่ฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173 วรรคสอง (1) ทั้งกรณีไม่ใช่เป็นการฟ้องซ้ำ เพราะขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ คดีอาญาเรื่องก่อนดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลและยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด
โจทก์ได้ผลิตกระเป๋าส่งมอบให้แก่จำเลยรับไปครบถ้วนตามข้อตกลงแล้ว แต่จำเลยยังค้างชำระค่ากระเป๋าอยู่อีกร้อยละ 75 โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยชำระราคาทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งจำเลยซื้อไปและยังไม่ได้ชำระราคาได้ แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยเจตนาฉ้อโกงโจทก์ก็เป็นการบรรยายฟ้องในลักษณะเล่าเรื่องตามความเข้าใจของโจทก์เองว่าถูกจำเลยหลอกลวงให้ทำกระเป๋าโดยจ่ายเงินเพียงร้อยละ 25 ของราคาทั้งหมด การจะปรับข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าเข้าลักษณะสัญญาหรือละเมิดนั้นเป็นข้อหารือบทเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทกฎหมายเอง แม้จะกล่าวในฟ้องว่าเป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืนหรือใช้ราคาก็หาเป็นเรื่องละเมิดเสมอไปไม่ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย และศาลมีอำนาจวินิจฉัยไปตามฟ้องได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นและไม่เกินคำขอ
ในคดีอาญาเรื่องก่อน พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกง และขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ฉ้อโกงไป ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง แต่การขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้ผู้เสียหายที่พนักงานอัยการขอมาในคำฟ้องคดีอาญานั้น แม้จะถือว่าเป็นการขอแทนผู้เสียหาย ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ.มาตรา 43 ก็ตาม แต่ก็เป็นกรณีที่ความเสียหายนั้นเนื่องมาจากการกระทำผิดอาญาเท่านั้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาซื้อขายที่ทำให้เป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องในมูลแห่งสัญญาซื้อขายที่มีต่อกันอยู่ ในคดีอาญาดังกล่าวกับคดีนี้ถึงแม้คำขอบังคับจะมีการขอคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นอย่างเดียวกันคือขอให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์กระเป๋าหนังที่จำเลยรับไป แต่ยังค้างชำระราคาแก่โจทก์อยู่ แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามิได้เป็นอย่างเดียวกัน เพราะในคดีอาญานั้นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่พนักงานอัยการขอบังคับในส่วนแพ่งเป็นที่เห็นได้ว่ามาจากข้ออ้างเนื่องจากการกระทำผิดอาญาอันเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้ละเมิดอันเกิดจากข้อกล่าวหาว่าฉ้อโกง ส่วนคดีนี้มีที่มาจากมูลหนี้แห่งสัญญาซื้อขาย โดยโจทก์เรียกร้องเอามูลค่าทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยยังค้างชำระราคาอยู่ มิใช่ฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173 วรรคสอง (1) ทั้งกรณีไม่ใช่เป็นการฟ้องซ้ำ เพราะขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ คดีอาญาเรื่องก่อนดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลและยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7400/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับจำนองที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินฯ ที่มีข้อจำกัดเรื่องการโอนสิทธิ และอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระขอให้ยึดที่ดินจำนองของจำเลยซึ่งมีข้อความบันทึกไว้ในสารบัญจดทะเบียนหลังโฉนดห้ามโอนภายในห้าปีตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 มาตรา 44 วรรคหนึ่งออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ฟ้องโจทก์ดังกล่าวเป็นการฟ้องบังคับจำเลยให้ชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ก่อน หากจำเลยไม่ชำระจึงจะขอให้บังคับจำนองที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ในภายหลังต่อไป ฟ้องโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้แก่โจทก์จึงไม่เป็นการฟ้องบังคับให้จำเลยรับผิดเกี่ยวกับที่ดินจึงไม่ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง ส่วนฟ้องโจทก์ที่ขอให้บังคับจำนองที่ดิน เป็นการฟ้องบังคับจำนองที่ดินของจำเลยซึ่งได้รับหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน เมื่อขณะโจทก์ยื่นฟ้องยังไม่พ้นกำหนดห้ามโอนภายในห้าปี นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ที่ดินจำนองของจำเลยดังกล่าวจึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 มาตรา 44 วรรคสองฟ้องโจทก์ส่วนนี้จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำนองที่ดินดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7227/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญชาติไทยของบุตรจากมารดาคนต่างด้าว: การพิจารณาการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาและผลต่อการได้สัญชาติ
โจทก์เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อปี2524โดยเป็นบุตรนาย ช.ซึ่งมีสัญชาติไทยกับนาง ล. ซึ่งเป็นคนญวนอพยพกรณีไม่ต้องด้วยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่337ลงวันที่13ธันวาคม2515ซึ่งเป็นเรื่องของผู้ที่เกิดในราชอาณาจักรไทยมีมารดาเป็นคนต่างด้าวโดยไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายแต่ต้องด้วยพระราชบัญญัติสัญชาติฯมาตรา7(1)ที่แก้ไขเพิ่มเติมโจทก์จึงมีสัญชาติไทย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7097/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง: มูลค่าทรัพย์สินพิพาทต่ำกว่าสองแสนบาท
การที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยขายที่ดินให้โจทก์เนื้อที่ 1 ไร่ และจำเลยบุกรุกเข้าไปตัดฟันต้นกล้วยในที่ดินของโจทก์นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทในขณะฟ้องราคาไร่ละ100,000 บาท ดังนี้ ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย