พบผลลัพธ์ทั้งหมด 689 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5703/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านการบังคับคดีต้องกระทำก่อนบังคับคดีเสร็จสิ้นและภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย
ในการขายทอดตลาดโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินได้โดยชำระเงินมัดจำค่าซื้อทรัพย์ในวันขายทอดตลาด ส่วนที่เหลือจะชำระภายใน 15 วันการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่า ค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือนั้นโจทก์ขอหักชำระหนี้โจทก์และทำบัญชีแสดงการรับ-จ่ายว่า เมื่อนำค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือมาหักชำระหนี้โจทก์แล้วจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่อีกจำนวนหนึ่ง ศาลชั้นต้นอนุญาตและมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นว่าจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว ถือได้ว่าการบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินเสร็จลงแล้ว การร้องคัดค้านการขายทอดตลาดนั้น จะต้องร้องคัดค้านก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่า 8 วัน นับแต่วันทราบการฝ่าฝืนนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา296 วรรคสอง ดังนั้น แม้จำเลยจะไม่ทราบการยึดและการประกาศขายทอดตลาดก็ตาม เมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำร้องคัดค้านก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง จำเลยย่อมไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5522/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธข้อกล่าวหาและการพิจารณาพยานหลักฐาน ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่ถูกต้อง จึงต้องย้อนสำนวน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายที่ดินให้โจทก์โดยตกลงกันเอง โจทก์มอบเงินให้จำเลยและจำเลยมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครอง จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ขายที่ดินให้โจทก์และโจทก์มิได้ครอบครองเพื่อตนเอง คำให้การดังกล่าวของจำเลยจึงมีเพียงปฏิเสธฟ้องโจทก์เท่านั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้องส่วนจำเลยไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การถึงเหตุแห่งการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์จึงไม่มีประเด็นที่จะสืบถึงรายละเอียดว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์และมอบที่ดินให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย แม้ศาลจะให้จำเลยนำสืบในรายละเอียดเหล่านี้ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานในประเด็นแห่งคดีไม่ได้
เมื่อคดียังจะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบและพฤติการณ์แห่งคดีว่า จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานเฉพาะที่นำสืบมาโดยถูกต้องและคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท การวินิจฉัยของศาล-อุทธรณ์ภาค 1 อาจมีผลทำให้คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงให้ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวจากพยานหลักฐานที่นำสืบมาโดยชอบต่อไป
เมื่อคดียังจะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบและพฤติการณ์แห่งคดีว่า จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานเฉพาะที่นำสืบมาโดยถูกต้องและคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท การวินิจฉัยของศาล-อุทธรณ์ภาค 1 อาจมีผลทำให้คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงให้ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวจากพยานหลักฐานที่นำสืบมาโดยชอบต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5522/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยพยานหลักฐานที่ไม่ชอบในชั้นอุทธรณ์ และการพิจารณาจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบในชั้นต้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายที่ดินให้โจทก์โดยตกลงกันเอง โจทก์มอบเงินให้จำเลยและจำเลยมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครอง จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ขายที่ดินให้โจทก์และโจทก์มิได้ครอบครองเพื่อตนเองคำให้การของจำเลยจึงมีเพียงปฏิเสธฟ้องโจทก์เท่านั้น โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้อง ส่วนจำเลยไม่มีประเด็นที่จะสืบถึงรายละเอียดว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์และมอบที่ดินให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยแม้ศาลจะให้จำเลยนำสืบในรายละเอียดนี้ ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานในประเด็นดังกล่าวไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5508/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับ, การเลิกสัญญา, ค่าเสียหาย: สิทธิเรียกค่าปรับเมื่อเลิกสัญญาและผลกระทบต่อการลดเบี้ยปรับหากสูงเกินไป
เมื่อพิจารณาข้อความสัญญาซื้อขายในส่วนหลังทั้งหมดแล้วถ้ามีการเลิกสัญญาก็ให้ผู้ซื้อมีสิทธิเรียกค่าชดเชยราคาสินค้าทีเพิ่มขึ้นและเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากเบี้ยปรับ เท่ากับนอกจากเรียกร้องค่าเสียหายแล้ว ยังเรียกเบี้ยปรับที่นับจากวันหลังจากวันที่ส่งมอบของถึงวันบอกเลิกสัญญาได้ด้วย กรณีของโจทก์และจำเลยเป็นเรื่องเลิกสัญญา ต้องใช้ข้อความส่วนหลังในสัญญาบังคับโจทก์จึงมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยที่ 1 ได้ เบี้ยปรับคือค่าเสียหายซึ่งคู่ความตกลงกันล่วงหน้าเบี้ยปรับจึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหาย ถ้ากำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียทุกอย่าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5508/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับในสัญญาซื้อขายและการเลิกสัญญา ผู้ซื้อมีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและเบี้ยปรับได้
เมื่อพิจารณาข้อความสัญญาซื้อขายในส่วนหลังทั้งหมดแล้ว ถ้ามีการเลิกสัญญาก็ให้ผู้ซื้อมีสิทธิเรียกค่าชดเชยราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นและเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากเบี้ยปรับ เท่ากับนอกจากเรียกร้องค่าเสียหายแล้ว ยังเรียกเบี้ยปรับที่นับจากวันหลังจากวันที่ส่งมอบของถึงวันบอกเลิกสัญญาได้ด้วย กรณีของโจทก์และจำเลยเป็นเรื่องเลิกสัญญา ต้องใช้ข้อความส่วนหลังในสัญญาบังคับ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยที่ 1 ได้
เบี้ยปรับคือค่าเสียหายซึ่งคู่ความตกลงกันล่วงหน้า เบี้ยปรับจึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหาย ถ้ากำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียทุกอย่าง
เบี้ยปรับคือค่าเสียหายซึ่งคู่ความตกลงกันล่วงหน้า เบี้ยปรับจึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหาย ถ้ากำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียทุกอย่าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5463/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการบอกเลิกสัญญา: ศาลรับฟังพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์การบอกเลิกสัญญาได้
คำฟ้องโจทก์แม้จะไม่ได้กล่าวหรือบรรยายว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว แต่จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยโดยชอบ คดีจึงมีประเด็นว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยหรือไม่ ดังนี้ ศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้วหรือไม่ ได้ ไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5229/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความครอบครอง vs. อายุความฟ้องร้อง และการกำหนดค่าทนายความเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยจดรายงานกระบวนพิจารณาว่าที่จำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความนั้น จำเลยทั้งห้าเพียงแต่ยกขึ้นกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่ปรากฏเหตุผลและรายละเอียดว่าขาดอายุความอย่างไร จึงไม่กำหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ให้ คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต่อมาจำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เพิ่มเติมด้วย ถือได้ว่าจำเลยทั้งห้าได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่กำหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่แล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า ไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงประเด็นที่ชี้สองสถานให้ยกคำร้อง จำเลยทั้งห้าไม่จำต้องโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นนี้อีกก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่กำหนดประเด็นดังกล่าวได้ แต่เมื่อการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 เป็นเรื่องกำหนดเวลาได้สิทธิ หาใช่เป็นเรื่องอายุความฟ้องร้อง คดีจึงไม่มีประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ การกำหนดอัตราค่าทนายความต้องเป็นไปตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความเกินกฎหมาย ศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ตามที่ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5229/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ vs. อายุความฟ้องร้อง: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองและการยกอายุความ
ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานโดยกำหนดประเด็น 3 ข้อ และจดไว้ในรายงานด้วยว่า ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์อายุความนั้นจำเลยเพียงแต่ยกขึ้นกล่าวอ้างลอย ๆ โดยไม่ปรากฎเหตุผลและรายละเอียดว่าขาดอายุความอย่างไร จึงไม่กำหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ให้ คำสั่งที่ไม่กำหนดประเด็นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แต่ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้กำหนดประเด็นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เพิ่มเติมด้วยดังนี้ถือได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่กำหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่แล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า ไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงประเด็นที่ชี้สองสถานตามคำร้องนี้ให้ยกคำร้อง จำเลยไม่จำต้องโต้แย้งคำสั่งในตอนหลังนี้อีก จำเลยก็ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นได้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เป็นเรื่องกำหนดเวลาได้สิทธิ มิใช่เป็นเรื่องอายุความฟ้องร้อง ที่จำเลยจะยกขึ้นให้การเป็นข้อต่อสู้ฟ้องโจทก์ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความได้ การที่จำเลยให้การยกเหตุดังกล่าวจึงไม่มีประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4958/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินประกันสัญญาเช่ามีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ศาลมีอำนาจลดจำนวนลงได้
สัญญาเช่าอาคารแม้จะเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยแต่การจะบังคับตามสัญญาก็ต้องพิจารณาว่าจะใช้บทกฎหมายใดบังคับ กรณีที่จำเลยวางเงินประกันสัญญาเช่า 300,000 บาท ถ้าจำเลยผิดสัญญายินยอมให้โจทก์ริบเงินประกันสัญญาได้ทันที และปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าตามเวลาที่กำหนดไว้ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงเป็นกรณีที่จำเลยยอมให้โจทก์ริบเงินประกันเมื่อชำระหนี้ไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงตามกำหนดเวลาและโจทก์อาจใช้สิทธิเรียกเอาเงินดังกล่าวอันจะพึงริบได้นั้น แม้ในสัญญาเช่าจะไม่เรียกว่าเป็นเบี้ยปรับ แต่ข้อที่กำหนดไว้ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ดังนี้เงินประกันสัญญาเช่าดังกล่าวจึงเป็นเบี้ยปรับตามป.พ.พ.มาตรา 381 ซึ่งศาลมีอำนาจที่จะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ.มาตรา 383
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4958/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินประกันสัญญาเช่าเป็นเบี้ยปรับ ศาลลดจำนวนได้ตามสมควร
สัญญาเช่าอาคารแม้จะเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลย แต่การจะบังคับตามสัญญาก็ต้องพิจารณาว่าจะใช้บทกฎหมายใด บังคับ กรณีที่จำเลยวางเงินประกันสัญญาเช่า 300,000 บาท ถ้าจำเลยผิดสัญญายินยอมให้โจทก์ริบเงินประกันสัญญาได้ทันที และปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าตามเวลาที่กำหนดไว้ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงเป็นกรณีที่จำเลยยอมให้โจทก์ริบ เงินประกันเมื่อชำระหนี้ไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงตามกำหนดเวลา และโจทก์อาจใช้สิทธิเรียกเอาเงินดังกล่าวอันจะพึงริบได้นั้น แม้ในสัญญาเช่าจะไม่เรียกว่าเป็นเบี้ยปรับ แต่ข้อที่กำหนดไว้ ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ดังนี้เงินประกันสัญญาเช่า ดังกล่าวจึงเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 ซึ่งศาลมีอำนาจที่จะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383