พบผลลัพธ์ทั้งหมด 689 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมของผู้เยาว์และการยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม รวมถึงผลของการจดทะเบียนสมรส
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 ได้บัญญัติไว้เฉพาะในกรณีที่ผู้ใช้อำนาจปกครองของผู้เยาว์ทำนิติกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ผู้เยาว์เป็นผู้ทำสัญญาประนี-ประนอมยอมความเอง บิดาโจทก์เพียงแต่ลงลายมือชื่อในฐานะพยานเท่านั้น ดังนี้จึงไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล
สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ผู้เยาว์ทำขึ้น มี บ.ผู้แทนโดยชอบธรรมลงลายมือชื่อเป็นพยานในเอกสารนั้น ย่อมถือได้ว่าผู้แทนโดยชอบธรรมให้ความยินยอมแล้ว ดังนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงสมบูรณ์มีผลใช้บังคับได้ ไม่เป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 21
ขณะจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ได้บรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งได้แสดงความยินยอมเป็นสามีภริยาโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและพยานซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายปกครองอีกด้วย เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการจดทะเบียนสมรสได้กระทำไปโดยเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายประการใดแล้ว ย่อมไม่เป็นเหตุให้เพิกถอนการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1
สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ผู้เยาว์ทำขึ้น มี บ.ผู้แทนโดยชอบธรรมลงลายมือชื่อเป็นพยานในเอกสารนั้น ย่อมถือได้ว่าผู้แทนโดยชอบธรรมให้ความยินยอมแล้ว ดังนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงสมบูรณ์มีผลใช้บังคับได้ ไม่เป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 21
ขณะจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ได้บรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งได้แสดงความยินยอมเป็นสามีภริยาโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและพยานซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายปกครองอีกด้วย เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการจดทะเบียนสมรสได้กระทำไปโดยเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายประการใดแล้ว ย่อมไม่เป็นเหตุให้เพิกถอนการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความของผู้เยาว์ & การจดทะเบียนสมรสโดยสมัครใจ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ได้บัญญัติไว้เฉพาะในกรณีที่ผู้ใช้อำนาจปกครองของผู้เยาว์ทำนิติกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ผู้เยาว์เป็นผู้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเอง บิดาโจทก์เพียงแต่ลงลายมือชื่อในฐานะพยานเท่านั้นดังนี้ จึงไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ผู้เยาว์ทำขึ้น มี บ.ผู้แทนโดยชอบธรรมลงลายมือชื่อเป็นพยานในเอกสารนั้น ย่อมถือได้ว่าผู้แทนโดยชอบธรรมให้ความยินยอมแล้ว ดังนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงสมบูรณ์มีผลใช้บังคับได้ ไม่เป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 21 ขณะจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ได้บรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งได้แสดงความยินยอมเป็นสามีภริยาโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและพยานซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายปกครองอีกด้วยเมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการจดทะเบียนสมรสได้กระทำไปโดยเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายประการใดแล้ว ย่อมไม่เป็นเหตุให้เพิกถอนการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2871/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะ: การพิจารณาโทษหนักขึ้นตาม ป.อ. มาตรา 340 ตรี
จำเลยร่วมกับพวกอีก 3 คน ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายโดยคนร้ายซึ่งเป็นพวกของจำเลยคนหนึ่งมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยและใช้อาวุธปืน ดังนี้ จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง เท่านั้น ศาลจะนำ ป.อ. มาตรา340 ตรี มาประกอบการลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง เพื่อให้ต้องรับโทษหนักขึ้นหาได้ไม่ เพราะจำเลยไม่ได้เป็นผู้มีหรือใช้อาวุธปืนเพื่อกระทำผิดแต่อย่างใด
ขณะที่จำเลยกับพวกมาทำการปล้นทรัพย์ จำเลยกับพวกไม่มียานพาหนะมา รถยนต์กระบะที่จำเลยขับไปในขณะที่ปล้นทรัพย์นั้นเป็นรถของผู้เสียหายเอง โดยผู้เสียหายนั่งไปด้วย จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมของกลางบังคับผู้เสียหายและขึ้นขับรถของผู้เสียหายไป ระหว่างที่จำเลยขับรถไป พวกจำเลยก็บังคับผู้เสียหายให้ปลดทรัพย์ให้ การที่จำเลยขับรถไปเป็นการขับไปตามสภาพของทรัพย์นั้นเองถือไม่ได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมอันเป็นเหตุให้รับโทษหนักขึ้นตาม ป.อ. มาตรา 340 ตรี
ขณะที่จำเลยกับพวกมาทำการปล้นทรัพย์ จำเลยกับพวกไม่มียานพาหนะมา รถยนต์กระบะที่จำเลยขับไปในขณะที่ปล้นทรัพย์นั้นเป็นรถของผู้เสียหายเอง โดยผู้เสียหายนั่งไปด้วย จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมของกลางบังคับผู้เสียหายและขึ้นขับรถของผู้เสียหายไป ระหว่างที่จำเลยขับรถไป พวกจำเลยก็บังคับผู้เสียหายให้ปลดทรัพย์ให้ การที่จำเลยขับรถไปเป็นการขับไปตามสภาพของทรัพย์นั้นเองถือไม่ได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมอันเป็นเหตุให้รับโทษหนักขึ้นตาม ป.อ. มาตรา 340 ตรี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2871/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์ด้วยอาวุธปืนและยานพาหนะของผู้เสียหาย ศาลยกเว้นโทษหนักฐานใช้ยานพาหนะ
จำเลยร่วมกับพวกอีก 3 คน ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายโดยคนร้ายซึ่งเป็นพวกของจำเลยคนหนึ่งมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยและใช้อาวุธปืน ดังนี้ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองเท่านั้น ศาลจะนำ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี มาประกอบการลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองเพื่อให้ต้องรับโทษหนักขึ้นหาได้ไม่ เพราะจำเลยไม่ได้เป็นผู้มีหรือใช้อาวุธปืนเพื่อกระทำผิดแต่อย่างใด ขณะที่จำเลยกับพวกมาการปล้นทรัพย์ จำเลยกับพวกไม่มียานพาหนะมา รถยนต์กระบะที่จำเลยขับไปในขณะที่ปล้นทรัพย์นั้นเป็นรถของผู้เสียหายเอง โดยผู้เสียหายนั้นไปด้วยจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมของกลางบังคับผู้เสียหายและขึ้นขับรถผู้เสียหายไป ระหว่างที่จำเลยขับรถไปพวกจำเลยก็บังคับผู้เสียหายให้ปลดทรัพย์ให้ การที่จำเลยขับรถไปเป็นขับไปตามสภาพของทรัพย์นั้นเองถือไม่ได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์โดยใช้ยานหนะเพื่อกระทำผิดหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมอันเป็นเหตุให้รับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2632/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าให้แพ้ชนะคดี: ศาลต้องรอเอกสารครบถ้วนก่อนวินิจฉัยผิดสัญญา
ในวันนัดสืบพยานโจทก์คู่ความตกลงท้ากันว่า ขอให้ส่งหนังสือสัญญาซื้อขายไปตรวจพิสูจน์ว่า ลายมือชื่อในช่องผู้ขายเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของ ส. หรือไม่ หากเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงฝ่ายจำเลยยอมแพ้ ถ้าหากไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงโจทก์ยอมแพ้ ทั้งสองฝ่ายจะออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง หากฝ่ายใดไม่ยินยอมออกค่าใช้จ่ายให้ถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้โดยไม่จำเป็นต้องตรวจพิสูจน์ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้เป็นไปตามที่คู่ความท้ากันและมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยนำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลภายในวันที่ 21 ธันวาคม 2532 หากไม่นำมาศาลจะถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้ตามรายงานกระบวนพิจารณาที่คู่ความท้ากันครั้นถึงกำหนดจำเลยได้นำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลชั้นต้นเพียงฝ่ายเดียว ดังนี้ ในวันดังกล่าวศาลชั้นต้นยังไม่ได้ส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์ ทั้งยังไม่ทราบค่าตรวจพิสูจน์ว่าเป็นจำนวนเท่าใดการที่โจทก์ยังไม่ได้วางเงินค่าตรวจพิสูจน์ต่อศาลชั้นต้นจึงมิใช่ข้อที่บ่งชี้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงโดยผิดเงื่อนไขตามคำท้าแต่เป็นกรณีที่ยังไม่ถึงขั้นตอนที่จะต้องวางเงินค่าตรวจพิสูจน์การที่ศาลชั้นต้นด่วนงดการส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์และวินิจฉัยว่าโจทก์แพ้คดีคำท้านั้นจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2632/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงท้าตรวจลายมือชื่อและการงดการส่งเอกสารตรวจพิสูจน์ก่อนถึงกำหนด
ในวันนัดสืบพยานโจทก์คู่ความตกลงท้ากันว่า ขอให้ส่งหนังสือสัญญาซื้อขายไปตรวจพิสูจน์ว่า ลายมือชื่อในช่องผู้ขายเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของ ส.หรือไม่ หากเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงฝ่ายจำเลยยอมแพ้ ถ้าหากไม่ใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงโจทก์ยอมแพ้ ทั้งสองฝ่ายจะออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง หากฝ่ายใดไม่ยินยอมออกค่าใช้จ่ายให้ถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้โดยไม่จำเป็นต้องตรวจพิสูจน์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เป็นไปตามที่คู่ความท้ากันและมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยนำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลภายในวันที่ 21 ธันวาคม 2532 หากไม่นำมา ศาลจะถือว่าฝ่ายนั้นยอมแพ้ตามรายงานกระบวนพิจารณาที่คู่ความท้ากัน ครั้นถึงกำหนดจำเลยได้นำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางต่อศาลชั้นต้นเพียงฝ่ายเดียว ดังนี้ แม้ว่าโจทก์จะไม่ได้นำเงินค่าตรวจพิสูจน์มาวางศาลภายในกำหนดก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นยังไม่ได้ส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์เพราะยังอยู่ในระหว่างรวบรวมเอกสาร ทั้งยังไม่ทราบค่าตรวจพิสูจน์ว่าเป็นจำนวนเท่าใด การที่โจทก์ยังไม่ได้วางเงินค่าตรวจพิสูจน์ต่อศาลชั้นต้นจึงมิใช่ข้อที่บ่งชี้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงโดยผิดเงื่อนไขตามคำท้าแต่เป็นกรณีที่ยังไม่ถึงขั้นตอนที่จะต้องวางเงินค่าตรวจพิสูจน์ การที่ศาลชั้นต้นด่วนงดการส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์และวินิจฉัยว่าโจทก์แพ้คดีตามคำท้านั้นจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2365/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำลายทรัพย์สิน: ข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระ หากศาลชั้นต้นฟังยุติว่าจำเลยไม่มีเจตนา
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยได้ทำให้ทรัพย์ของโจทก์เสียหายก็เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 แล้ว ไม่ใช่ต้องถึงขนาดเป็นการกระทำโดยแกล้งให้เสียหายโดยไม่มีเหตุผลนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนากระทำผิด จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป