พบผลลัพธ์ทั้งหมด 352 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบยึดเช็คชำระค่าที่ดินโดยไม่มีอำนาจ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ขาย
จำเลยรับราชการตำแหน่งปฏิรูปที่ดินจังหวัด มีหน้าที่ในการจัดซื้อที่ดินและจัดการจ่ายเงินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดให้แก่ผู้ขายสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดดำเนินการจัดซื้อที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินแปลงที่ 4และแปลงที่ 5 จาก ร. สำหรับแปลงที่ 5 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดได้ดำเนินการจัดซื้อและชำระราคาที่ดินให้แก่ ร.ผู้ขายเรียบร้อยแล้ว ส่วนแปลงที่ 4นั้น ในวันที่ 14 มิถุนายน 2527 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดได้ดำเนินการจัดซื้อและชำระราคาที่ดินให้แก่ผู้ขายโดยปราศจากเงื่อนไขและแยกชำระราคาเป็นพันธบัตรรัฐบาลและเงินสด ในส่วนที่จ่ายเป็นเงินสดนั้นได้แยกจ่ายเป็นเช็คผู้ถือจากบัญชีของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด รวม 3 ฉบับ จำเลยได้มอบเช็คให้แก่ ส.เพียง 2 ฉบับ จำเลยจะอ้างเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งอาจเป็นปัญหาขึ้นมาเพื่อยึดถือเอาเช็คฉบับที่ 3 จำนวนเงิน 280,000 บาท ไว้เป็นประกันค่าเสียหายค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการซื้อขายที่ดินแปลงที่ 5 โดยไม่มีกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการใด ๆ ให้อำนาจที่จะกระทำเช่นนั้นหาได้ไม่ หากจะมีปัญหาขึ้นมาในอนาคตว่าที่ดินแปลงที่ 5 มีการรุกล้ำป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่เพียงใด ก็เป็นปัญหาที่จะไปแก้ไขกันในเรื่องที่ดินแปลงที่ 5 นั้น จำเลยไม่มีอำนาจหรือหน้าที่เข้าไปแก้ไขปัญหาล่วงหน้าเช่นนั้นด้วยการยึดเช็คที่ชำระราคาค่าที่ดินแปลงที่ 4 ให้แก่ ร.ผู้ขายมาเข้าบัญชีธนาคารในนามของตนได้ ทั้งเมื่อปรากฏว่าไม่มีปัญหาใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินแปลงที่ 5 การที่จำเลยยึดเช็คไว้เช่นนี้จึงไม่ชอบและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ร.ที่ไม่สามารถได้รับชำระราคาค่าที่ดินจำนวน 280,000 บาท ตามวันสั่งจ่ายในเช็คได้ นอกจากนี้หลังจากจำเลยนำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีเงินฝากของตนแล้วจำเลยได้เบิกถอนเงินจากบัญชีนั้นเป็นระยะ ๆ ไป อันแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าที่จำเลยเบิกถอนมาเพื่อประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น แม้ต่อมาจำเลยจะได้คืนเงินให้แก่ ร.และตัวแทนเรียบร้อยแล้ว และ ร.หรือ ส.ผู้รับมอบอำนาจ มิได้โต้แย้งหรือร้องเรียนว่าไม่เต็มใจหรือถูกจำเลยเพทุบายให้ยึดเช็คดังกล่าวก็ตาม การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ร.และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 157
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 227/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในคุณสมบัติทรัพย์สิน สัญญาจะซื้อขายเป็นโมฆียะ จำเลยต้องคืนเงินมัดจำ
จำเลยทราบตั้งแต่ปี 2517 ว่าไม่สามารถออก น.ส.3 ที่ดินพิพาทและโอนให้แก่ ป. เพราะที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์แต่ปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่แจ้งให้โจทก์ทราบซึ่งหากโจทก์ทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ก็ย่อมจะไม่ซื้อเพราะจะขายต่อให้แก่ผู้ใดมิได้การแสดงเจตนาของโจทก์จึงเป็นไปโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สินคือที่ดินพิพาทซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญสัญญาจะซื้อขายจึงเป็นโมฆียะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปิดทับภาพถ่ายบนสำเนาเอกสาร ไม่เป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร หากไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น
การที่จำเลยนำเอาภาพถ่ายของจำเลยเองมาปิดทับลงในสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของจำเลยถึงแม้จะกระทำไปเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจและบุคคลทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นต้นฉบับเอกสารที่แท้จริงแต่ในเมื่อเป็นภาพถ่ายของจำเลยและเป็นสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของจำเลยเองการกระทำของจำเลยย่อมไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆแต่ผู้อื่นหรือประชาชนจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารแม้จำเลยจะนำไปใช้ก็ไม่ทำให้จำเลยมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามที่โจทก์ฟ้องไปได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามจำเลยผู้ฎีกาก็ยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195วรรคสองประกอบมาตรา225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขสำเนาเอกสารด้วยภาพถ่ายตนเอง ไม่ถือเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารหรือใช้เอกสารปลอม หากไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
จำเลยนำภาพถ่ายของตนมาปิดทับลงในสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของตนแม้เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจและบุคคลทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นต้นฉบับเอกสารที่แท้จริงแต่ก็ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆแก่ผู้อื่นหรือประชาชนจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและแม้จะได้นำไปใช้ก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมและเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมเอกสารต้องทำให้เกิดความเสียหาย – ภาพถ่ายตนเองไม่ถือเป็นเอกสารปลอม
การที่จำเลยนำเอาภาพถ่ายของจำเลยเองมาปิดทับลงในสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของจำเลย ถึงแม้จะกระทำไปเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจและบุคคลทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นต้นฉบับเอกสารที่แท้จริง แต่ในเมื่อเป็นภาพถ่ายของจำเลยและเป็นสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของจำเลยเอง การกระทำของจำเลยย่อมไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ แก่ผู้อื่นหรือประชาชน จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร แม้จำเลยจะนำไปใช้ก็ไม่ทำให้จำเลยมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามที่โจทก์ฟ้องไปได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม จำเลยผู้ฎีกาก็ยกขึ้นอ้างได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่า: พยานหลักฐานไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนายิงประทุษร้ายผู้เสียหาย
คำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสี่กับ ร. และ ส. ไม่ปรากฏว่าก่อนและขณะเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งสี่แสดงกิริยาหรือวาจาอันเป็นเหตุให้จำเลยโกรธเคืองหรือไม่พอใจผู้เสียหายทั้งสี่และได้ความจากผู้เสียหายทั้งสี่ด้วยว่าไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยอีกทั้งสภาพบริเวณเกิดเหตุที่ผู้เสียหายทั้งสี่นั่งล้อมวงคุยกันเป็นทุ่งนาโล่งกว้างต่ำกว่าจุดที่จำเลยอยู่และใกล้วิถีกระสุนปืนซึ่งง่ายต่อการถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงมาอยู่มากแต่กระสุนปืนที่จำเลยยิงไป1นัดก็ไม่ถูกผู้ใดและไม่ปรากฏร่องรอยกระสุนปืนที่พื้นดินบริเวณนั้นด้วยนอกจากนี้ยังคงมีกระสุนปืนเหลืออยู่ในแม็กกาซีนถึง7นัดในสภาพพร้อมยิงได้ทันทีแต่จำเลยไม่ได้ใช้ยิงเลยโดยไม่ปรากฏสิ่งใดขัดขวางประกอบกับเหตุเกิดกระทันหันในเวลากลางคืนโดยจำเลยใช้อาวุธปืนสั้นยิงออกไปคนละทางกับ ร.ผู้ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวตัดหน้ารถจำเลยซึ่งก่อเหตุการณ์ให้จำเลยยิงปืนโอกาสที่พยานจะไม่ทันสังเกตว่าจำเลยจ้องปืนไปทางใดย่อมมีอยู่มากพฤติการณ์ที่กล่าวมาแสดงว่าจำเลยใช้ปืนยิงไปคนละทางกับผู้เสียหายทั้งสี่โดย ไม่มี เจตนายิงประทุษร้ายไปทางผู้เสียหายทั้งสี่ซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่าจำเลยยิงปืนขึ้นฟ้า พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยฐาน พยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8253/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้เมื่อไม่รู้ตัวเจ้าหนี้: การหลุดพ้นจากหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331
จำเลยทำสัญญาเช่าช่วงพื้นที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ผู้ให้เช่าช่วงแต่บริษัท อ. ผู้เป็นเจ้าของและเป็นผู้ให้เช่าเดิมก็ยังคงมีสิทธิเรียกค่าเช่าจากจำเลยผู้เช่าช่างได้โดยตรง ทั้งบริษัท อ. ได้แจ้งให้จำเลยทำสัญญาเช่ากับตน โดยอ้างว่าได้บอกเลิกสัญญาเช่าต่อผู้เช่าเดิมแล้ว หากไม่ปฏิบัติตามจะฟ้องขับไล่จนทำให้จำเลยต้องทำสัญญาเช่ากับบริษัท อ.ตามพฤติการณ์ดังกล่าว จำเลยย่อมไม่อาจทราบได้ว่าฝ่ายใดมีสิทธิดีกว่ากัน การที่จำเลยนำเงินค่าเช่าซึ่งได้รับการทวงถามจากโจทก์และบริษัท อ. ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ถือได้ว่าจำเลยไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิทธิหรือไม่รู้ตัวเจ้าหนี้ได้แน่นอนโดยมิใช่เป็นความผิดของจำเลย เมื่อจำเลยไม่ทราบว่าใครมีสิทธิดีกว่ากัน จึงจำเป็นที่จำเลยจะต้องกำหนด เงื่อนไขไว้ว่า ให้ผู้มีสิทธิที่แท้จริงในการให้เช่าพื้นที่พิพาทเป็นผู้รับเงินค่าเช่าที่วางไว้ ไม่เป็นการกำหนดเงื่อนไขอันเป็นการทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินได้การวางเงินของจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 331 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7967/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดค่าทนายความในคดีไม่มีทุนทรัพย์ ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ แม้มิได้มีการฎีกาในประเด็นนี้
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ. บัญญัติให้ศาลกำหนดค่าทนายความอัตราขั้นสูงในศาลชั้นต้นใช้แทนเพียง 3,000 บาทการที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความ ให้จำเลยทั้งสองใช้แทนโจทก์ 15,000 บาทและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามมานั้น จึงเกินกว่าอัตราขั้นสูงที่กฎหมายกำหนด แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็เห็นสมควรกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7923/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำในคดีฉ้อโกง: ศาลพิจารณาองค์ประกอบความผิดในคำฟ้องเดิม หากไม่ชัดเจนถือว่ายังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด
เหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องโจทก์ในคดีก่อนเนื่องมาจากคำฟ้องไม่ได้บรรยายว่าข้อความเท็จที่จำเลยทั้งสองในคดีนี้แสดงหรือข้อความจริงที่จำเลยทั้งสองในคดีนี้ปกปิดเป็นอย่างไรทั้งไม่ได้บรรยายว่าจำเลยคนใดหลอกลวงโจทก์ให้สั่งจ่ายเช็คภายหลังที่จำเลยทั้งสองได้โอนที่ดินและอาคารให้แก่จำเลยที่3ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเห็นได้ว่าคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองในคดีก่อนยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาการกระทำของจำเลยทั้งสองว่าได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ถือไม่ได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ตามฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(4)ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7923/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คำฟ้องไม่ชัดเจนถึงการกระทำผิดและเจตนาหลอกลวง
เหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ประทับฟ้องโจทก์ในคดีก่อน เนื่องมาจากคำฟ้องไม่ได้บรรยายว่าข้อความเท็จที่จำเลยทั้งสองในคดีนี้แสดงหรือข้อความจริงที่จำเลยทั้งสองในคดีนี้ปกปิดเป็นอย่างไร ทั้งไม่ได้บรรยายว่าจำเลยคนใดหลอกลวงโจทก์ให้สั่งจ่ายเช็คภายหลังที่จำเลยทั้งสองได้โอนที่ดินและอาคารให้แก่จำเลยที่ 3ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เห็นได้ว่า คำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองในคดีก่อนยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาการกระทำของจำเลยทั้งสองว่าได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ถือไม่ได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ตามฟ้องตามป.วิ.อ.มาตรา 39(4) ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ