พบผลลัพธ์ทั้งหมด 352 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผลของการไม่จดทะเบียนสิทธิครอบครอง ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกันกับคดีเดิมที่ยังไม่ถึงที่สุด
คดีเดิมโจทก์ฟ้องจำเลยอ้างว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นสวนยางพาราจำเลยในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. ได้รับโอนที่ดินดังกล่าวแล้วนำไปจดทะเบียนจำนองขอให้บังคับให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทและจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าจำเลยเข้าแย่งทำสวนยางพาราในที่ดินพิพาทระหว่างคดีและเก็บดอกผลรายได้เป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวขอให้บังคับให้จำเลยส่งมอบรายได้ให้โจทก์ดังนี้ดอกผลรายได้จากการทำสวนยางพาราในที่ดินพิพาทก็คือค่าเสียหายอันเป็นผลเนื่องมาจากการที่จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทในคดีเดิมนั้นเองซึ่งค่าเสียหายดังกล่าวตามฟ้องคดีนี้ย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทสิทธิการฟ้องคดีนี้เกิดจากมูลกรณีเดียวกับข้ออ้างในคดีเดิมจึงเป็นเรื่องเดียวกันฟ้องคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผลของการไม่จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดิน ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกันกับคดีเดิมที่อยู่ระหว่างพิจารณา
คดีเดิมโจทก์ฟ้องจำเลยอ้างว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นสวนยางพารา จำเลยในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. ได้รับโอนที่ดินดังกล่าวแล้วนำไปจดทะเบียนจำนอง ขอให้บังคับให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาท และจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลย คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าจำเลยเข้าแย่งทำสวนยางพาราในที่ดินพิพาทระหว่างคดีและเก็บดอกผลรายได้เป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว ขอให้บังคับให้จำเลยส่งมอบรายได้ให้โจทก์ ดังนี้ ดอกผลรายได้จากการทำสวนยางพาราในที่ดินพิพาทก็คือค่าเสียหายอันเป็นผลเนื่องมาจากการที่จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทในคดีเดิมนั้นเอง ซึ่งค่าเสียหายดังกล่าวตามฟ้องคดีนี้ย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท สิทธิการฟ้องคดีนี้เกิดจากมูลกรณีเดียวกับข้ออ้างในคดีเดิมจึงเป็นเรื่องเดียวกันฟ้องคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2430/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาศาลฎีกาผูกพันโจทก์ หนี้สมยอมไม่มีอำนาจฟ้องคดีใหม่
ฟ้องโจทก์อ้างสิทธิการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทโดยคำพิพากษาตามยอม ขอให้เพิกถอนการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทของจำเลยจากการซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดซึ่งโจทก์เคยยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทของเจ้าพนักงานบังคับคดีและขอให้ศาลมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงโดยอ้างเหตุผลเช่นเดียวกับคดีนี้มาแล้วถือว่าเป็นการฟ้องคดีอย่างหนึ่งเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมเป็นหนี้สมยอมกันถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนย่อมผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคแรกโจทก์จึง ไม่มี อำนาจฟ้องคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2430/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องถูกจำกัดด้วยคำพิพากษาฎีกาเดิม ห้ามฟ้องคดีใหม่ที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาเดิม
ในคดีที่โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาด ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมระหว่างโจทก์กับ จ.เป็นหนี้สมยอมกัน ทำขึ้นโดยมิได้เป็นหนี้กันจริง เพื่อช่วยเหลือมิให้โจทก์และเจ้าหนี้อื่นบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของ จ. ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ จ. ซึ่งตรงกับประเด็นพิพาทในคดีนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนจึงผูกพันโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคแรก โจทก์จะฟ้องเป็นคดีใหม่อ้างการได้มาซึ่งที่ดินตามฟ้องโดยอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวของศาลชั้นต้น อันเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนหาได้ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คดีไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงชอบแล้ว
คดีไม่จำต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2421/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในคดีที่มีโจทก์หลายคน: ศาลฎีกาพิจารณาค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง
โจทก์ทั้งสองฟ้องให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองคนละจำนวนแยกจากกันโดยเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องมาในอัตราสูงสุดเป็นเงินคนละ200,000บาทเมื่อจำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องในอัตราสูงสุดคนละ200,000บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2286/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจำนองโมฆะ: แม้มีเจตนาจะจำนอง แต่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย สัญญาจึงไม่สมบูรณ์
การที่จำเลยมอบโฉนดที่ดินพร้อมด้วยใบมอบอำนาจและเอกสารอื่นให้แก่โจทก์เพื่อจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ในการที่จำเลยนำเช็คไปขายลดแก่โจทก์ถึงแม้จะมีข้อกำหนดให้นำไปจดทะเบียนจำนองได้หลังจากเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ก็ตามแต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยมีเจตนาจะเอาทรัพย์จำนองเป็นประกันนั้นเองเมื่อไม่ได้มีการจดทะเบียนจำนองให้ถูกต้องตามกฎหมายสัญญาจำนองจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา115เดิมและมาตรา714ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ3ไม่ได้บัญญัติไว้ในที่ใดให้มีสัญญาจะจำนองได้เมื่อสัญญาจำนองตกเป็นโมฆะและสัญญาจะจำนองมีขึ้นไม่ได้ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่อาจอ้างอิงสัญญาดังกล่าวและไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้กับโจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้ขายลดเช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2286/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจำนองโมฆะจากการไม่ได้จดทะเบียน แม้มีเจตนาให้ที่ดินเป็นประกันหนี้
การที่จำเลยมอบโฉนดที่ดินพร้อมด้วยใบมอบอำนาจและเอกสารอื่นให้แก่โจทก์เพื่อจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ขายลดเช็ค แม้จะมีข้อกำหนดให้นำไปจดทะเบียนจำนองได้หลังจากเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ก็ตามแต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยมีเจตนาที่จะเอาทรัพย์จำนองเป็นประกันนั่นเอง เมื่อไม่ได้มีการจดทะเบียนจำนองให้ถูกต้องสัญญาจำนองจึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 115 เดิม และมาตรา 714
ป.พ.พ.บรรพ 3 อันเป็นเอกเทศสัญญาไม่ได้บัญญัติให้มีสัญญาในลักษณะซึ่งจะเป็นสัญญาจะจำนองได้ เมื่อสัญญาจำนองเป็นโมฆะและสัญญาจะจำนองมีขึ้นไม่ได้ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ขายลดเช็ค
ป.พ.พ.บรรพ 3 อันเป็นเอกเทศสัญญาไม่ได้บัญญัติให้มีสัญญาในลักษณะซึ่งจะเป็นสัญญาจะจำนองได้ เมื่อสัญญาจำนองเป็นโมฆะและสัญญาจะจำนองมีขึ้นไม่ได้ตามกฎหมายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ขายลดเช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2286/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจำนองโมฆะ: เจตนาประกันหนี้แต่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย
สัญญาจะจำนองไม่มีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่เหมือนสัญญาจะซื้อขายทรัพย์สินสัญญาจะแลกเปลี่ยนและคำมั่นจะให้ตามมาตรา456วรรคสอง,519,526การที่จำเลยมอบโฉนดที่ดินพร้อมใบมอบอำนาจและเอกสารอื่นให้โจทก์เพื่อจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ขาดลดเช็คโดยมีข้อกำหนดให้จดทะเบียนจำนองได้หลังจากเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้เป็นเรื่องที่จำเลยเจตนาจะเอาทรัพย์จำนองเป็นประกันเมื่อไม่ได้จดทะเบียนจำนองให้ถูกต้องสัญญาจำนองจึงเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ไม่ครบถ้วนตามอุทธรณ์ การไม่วินิจฉัยประเด็นจำเลยทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยขอให้แก้เป็นไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 - 5, 7 - 8 จึงถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไว้ด้วยแล้ว แต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์กล่าวเพียงว่าโจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 8 พร้อมทั้งวินิจฉัยเฉพาะการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 8 เท่านั้น หาได้กล่าวถึงหรือวินิจฉัยการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่ แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาตอนหนึ่งว่านอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอันมีผลบังคับไปถึงจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ด้วย ก็ยังถือไม่ได้ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงเป็นคำวินิจฉัยไม่ครบทุกข้อตามที่โจทก์ขอมาในอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ที่ไม่ครบถ้วนของศาลอุทธรณ์ จำเลยบางส่วนไม่ได้รับการวินิจฉัย และเหตุผลในการรอ/ไม่รอการลงโทษ
โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยขอให้แก้เป็นไม่รอการลงโทษจำเลยที่1-5,7-8จึงถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่2ถึงที่4ไว้ด้วยแล้วแต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์กล่าวเพียงว่าโจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยที่1ที่5ที่7และที่8พร้อมทั้งวินิจฉัยเฉพาะการกระทำผิดของจำเลยที่1ที่5ที่7และที่8เท่านั้นหาได้กล่าวถึงหรือวินิจฉัยการกระทำผิดของจำเลยที่2ถึงที่4ไม่แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาตอนหนึ่งว่านอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอันมีผลบังคับไปถึงจำเลยที่2ที่3และที่4ด้วยก็ยังถือไม่ได้ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่2ที่3และที่4จึงเป็นคำวินิจฉัยไม่ครบทุกข้อตามที่โจทก์ขอมาในอุทธรณ์