พบผลลัพธ์ทั้งหมด 352 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับอุทธรณ์คดีข้อเท็จจริง: ศาลชั้นต้นสั่งผิดพลาดและขัดต่อกฎหมาย
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง แล้วมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อปรากฏว่า คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย และย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องว่าจะรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) และ27 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5392/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง: ศาลฎีกามีอำนาจเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบ แม้เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงให้ยกคำร้อง แล้วมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อปรากฏว่า คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย และย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องว่าจะรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) และ 27 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5290/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาชี้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกประเด็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มิชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินโดยอ้างว่าจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยให้การแต่เพียงว่าเงินที่โจทก์เรียกมานั้นสูงเกินความเป็นจริง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ และถือว่าจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือประเด็นที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5290/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อพิพาทเกินกรอบประเด็นที่จำเลยต่อสู้ ถือเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าจ้าง โดยอ้างว่าจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยให้การแต่เพียงว่าค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมานั้นสูงเกินความเป็นจริงโดยมิได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้องโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้องหรือไม่และถือว่าจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแก่โจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงที่ถือว่าจำเลยรับแล้วขึ้นวินิจฉัยอันเป็นการนอกเหนือประเด็นที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5210/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาโทษอาญาซ้ำซ้อนและหลักการใช้กฎหมายบทหนัก กรณีจำเลยกระทำผิดหลายกระทง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147,157,265 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดจำเลยกระทำความผิด 23 กระทง เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปีรวมจำคุก 115 ปี และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265,268 แต่ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคสอง ประกอบมาตรา 265จำเลยกระทำความผิด 23 กระทง เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ 1 ปีรวมจำคุก 23 ปี รวมโทษจำคุก จำเลยทั้งหมด 138 ปี แต่ให้จำคุกจำเลยเพียง 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3)ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,265,268 กระทงเดียวเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 147ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 5 ปี และไม่ปรับบทกระทำผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกเท่านั้น จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงทำนองว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง แต่ถ้าศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกระทำความผิด ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษแก่จำเลยจึงต้องห้ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5210/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีอาญาซ้ำซ้อนและขอบเขตการลงโทษจำคุกกระทง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147,157, 265 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำเลยกระทำความผิด 23 กระทง เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 115 ปี และมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 265,268 แต่ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคสอง ประกอบมาตรา 265 จำเลยกระทำความผิด 23 กระทง เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก23 ปี รวมโทษจำคุก จำเลยทั้งหมด 138 ปี แต่ให้จำคุกจำเลยเพียง 50 ปี ตามป.อ. มาตรา 91 (3) ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามป.อ. มาตรา 147 , 265, 268 กระทงเดียว เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 5 ปีและไม่ปรับบทกระทำผิดของจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกเท่านั้น จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปีจำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงทำนองว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง แต่ถ้าศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกระทำความผิด ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษแก่จำเลยจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4933/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามฆ่า แม้เหยื่อไม่ถึงแก่ความตาย
จำเลยใช้อาวุธปืนที่ไม่ได้บรรจุกระสุนยิงผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่สามารถทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ กรณีต้องปรับด้วย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 เพราะถือว่าจำเลยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แต่ไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3597/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความหลังศาลชั้นต้น: ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยแม้ศาลอุทธรณ์ไม่หยิบยก
คดีความผิดต่อส่วนตัว หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องพร้อมอุทธรณ์ของจำเลยว่าประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับจำเลย ไม่ติดใจดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป ฝ่ายโจทก์ไม่โต้แย้งเป็นอย่างอื่น ถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยได้ยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาลงโทษจำเลยโดยมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3497/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความในคดีอาญาต่อส่วนตัว ทำให้สิทธิฟ้องระงับ แม้ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัย
คดีความผิดต่อส่วนตัว หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องพร้อมอุทธรณ์ของจำเลยว่าประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับจำเลย ไม่ติดใจดำเนินคดีกับจำเลยอีกต่อไป ฝ่ายโจทก์ไม่โต้แย้งเป็นอย่างอื่น ถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยได้ยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยโดยมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3448/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายในคดีอาญา ส่งผลให้สิทธิในการฟ้องระงับ
คดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวและยังไม่ถึงที่สุด ผู้เสียหาย จะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้เสียหาย ถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๒) แต่ศาลอุทธรณ์ ไม่ดำเนินการตามบทกฎหมายดังกล่าว กลับวินิจฉัยอุทธรณ์ ของจำเลย แล้วพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษจำเลย จึงเป็นการไม่ชอบ ต้องยกฟ้อง