คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ระพินทร บรรจงศิลป

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 974 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5826/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยปริยาย สิทธิเรียกร้องค่าขาดราคา/ค่าขาดประโยชน์เป็นเบี้ยปรับ ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขข้อผิดพลาด
ตามสัญญาเช่าซื้อกำหนดให้ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเรียกค่าขาดราคาเป็นการกำหนดค่าเสียหายล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 379แต่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยปริยาย ผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับเป็นค่าเสียหายตามสัญญาได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์เรียกร้องว่าเป็นเบี้ยปรับที่โจทก์พึงได้รับตามข้อกำหนดแห่งสัญญาเช่าซื้อ แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าสูงเกินส่วนและใช้ดุลพินิจลดลงโดยวินิจฉัยให้โจทก์ได้รับเป็นเงิน 60,000 บาทแต่ในคำพิพากษาตอนต่อมาเมื่อนำไปรวมกับค่าขาดราคากลับระบุค่าขาดประโยชน์คือ45,000 บาท เห็นได้ชัดว่า จำนวนเงินที่ระบุในตอนหลังนี้พิมพ์ผิดพลาดไป กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 143 เมื่อข้อผิดพลาดเล็กน้อยดังกล่าวปรากฏแก่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขโดยถูกต้องได้ แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์และเพิ่งหยิบยกขึ้นในชั้นฎีกาก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5590/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อเลิกกัน: สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากสภาพรถยนต์และค่าขาดประโยชน์
สัญญาเช่าซื้อกำหนดไว้ว่าเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันผู้เช่าซื้อยอมส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนแก่เจ้าของ โดยพลันในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้ว และอีกข้อหนึ่งว่า ถ้าเจ้าของได้ขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปแล้วยังไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อ ที่ต้องชำระทั้งหมดตามสัญญากับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น หรือถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อเมื่อเจ้าของได้ประเมินราคาแล้ว มีราคาไม่คุ้มค่าเช่าซื้อที่คงเหลืออยู่กับค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ผู้เช่าซื้อจะชดใช้เงินให้เจ้าของจนครบถ้วน โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนราคารถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน แม้ราคาขายจะเป็นเพียงความคาดหมายของโจทก์โดยยังมิได้มีการขายจริง แต่โจทก์ก็อาจนำสืบให้เห็นได้ว่ารถยนต์อยู่ในสภาพที่ในท้องตลาดมีการซื้อขายกันในราคาเท่าใดโดยที่ยังมิได้มีการขายจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้มีการกำหนดกันไว้ในสัญญาเช่าซื้อ ในส่วนของค่าขาดประโยชน์ศาลกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ โดยพิเคราะห์ถึงยี่ห้อของรถยนต์ และ ราคาเช่าซื้อที่จะชำระแต่ละเดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5245/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับจำนอง, สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี, อำนาจฟ้อง, และการลดอัตราดอกเบี้ย: ประเด็นสำคัญในการพิพากษาคดี
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เงินทั้งสามฉบับและหนี้เบิกเงินเกินบัญชี 1 รายการ จำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญา จึงเป็นการผิดสัญญาต่อโจทก์ เมื่อข้อตกลงในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้ทั้งสามฉบับยอมให้โจทก์บอกกล่าวเลิกสัญญาได้ก่อนสัญญาครบกำหนด การที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยก่อนสัญญาครบกำหนดจึงหาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ เพราะหากโจทก์จะปล่อยให้จำเลยกู้เงินต่อไปก็ยิ่งจะเป็นภาระหนักแก่จำเลยที่ไม่อาจชำระหนี้คืนแก่โจทก์ได้แน่นอน และการที่โจทก์ยอมให้บริษัท ร. อันเป็นบริษัทในเครือของจำเลยกู้เงินจากโจทก์ มาชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อลดหนี้ของจำเลย และยอมให้จำเลยกู้เงินจากโจทก์ นำมาลดหนี้ของจำเลย ตามฎีกาของจำเลยก็ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยเองทั้งสิ้น หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
จำเลยได้รับหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์เพียงบางส่วนเท่านั้น มิได้ชำระทั้งหมดตามจำนวนที่โจทก์ทวงถาม ย่อมไม่ทำให้การทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองสิ้นผลไป เพราะสามารถนำส่วนที่จำเลยชำระนั้นมาหักลดหนี้เดิมได้ แล้วคิดดอกเบี้ยในหนี้ส่วนที่ยังค้างชำระอยู่ต่อไปจนถึงวันฟ้อง แม้ยอดหนี้ตามคำฟ้องจะมีตัวเลขไม่ตรงตามหนังสือทวงถามก่อนที่จำเลยจะชำระหนี้บางส่วน ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ต้องมีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองใหม่ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
ปรากฏตามการ์ดบัญชีกระแสรายวันของโจทก์สำนักเพลินจิต ว่า ภายหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด อันเป็นวันครบกำหนดตามหนังสือบอกเลิกสัญญาและให้ชำระหนี้ของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยเบิกเงินไปจากโจทก์ และจำเลยก็มิได้ชำระหนี้แก่โจทก์ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แสดงว่าเมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด โจทก์กับจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะสะพัดกันทางบัญชีต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวจึงสิ้นสุดลง โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยได้ต่อไป คงคิดดอกเบี้ยได้โดยไม่ทบต้นเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5239/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย กรณีเหตุละเมิดเดียวกัน และการเฉลี่ยความรับผิด
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 87-3546 กรุงเทพมหานคร ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้เอาประกันภัยไว้ จำเลยที่ 4 ให้การว่ามิได้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันดังกล่าวจากจำเลยที่ 3 แต่รับประกันภัยไว้จากบุคคลอื่น ดังนี้คำให้การของจำเลยที่ 4 เป็นการยอมรับว่าได้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องจริง
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกขุดตักดินไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้หลังคาของรถขุดตักดินเกี่ยวสายเคเบิลโทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยที่ขึงอยู่กับเสาไฟฟ้าของโจทก์ และดึงรั้งเอาเสาไฟฟ้าของโจทก์หักล้มได้รับความเสียหาย โดยจำเลยที่ 4 รับประกันค้ำจุนรถบรรทุกสิบล้อดังกล่าว เมื่อคดีนี้และคดีที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยฟ้องให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดเป็นเหตุละเมิดครั้งเดียวกันและตามกรมธรรม์ประกันภัยก็ระบุให้จำเลยที่ 4 รับผิดไม่เกิน 250,000 บาทต่ออุบัติเหตุหนึ่งครั้ง การที่คำพิพากษา 2 สำนวนในเหตุละเมิดครั้งเดียวกันจะบังคับให้จำเลยที่ 4 ต้องรับผิดเกินกว่าความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 4 มีสิทธิยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ เมื่อคดีที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นโจทก์มียอดเงินค่าเสียหาย 51,247 บาท รวมกับยอดเงินค่าเสียหายคดีนี้260,017.24 บาท แล้วเป็นเงิน 311,264.24 บาท เกินวงเงินตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายทั้งสองคดีในวงเงินตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยเฉลี่ยตามส่วนความเสียหายแต่ละคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5081/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากการสลักหลังเช็คและการแบ่งแยกความรับผิดชอบค่าฤชาธรรมเนียม
โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ด้วย จึงไม่ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5081/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมศาล: การแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ได้อุทธรณ์
โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ด้วย จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5081/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์จำกัดเฉพาะจำเลยบางราย ศาลอุทธรณ์ไม่อาจพิพากษาให้จำเลยที่ไม่ได้รับการอุทธรณ์รับผิดชอบค่าฤชาธรรมเนียม
โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ด้วย จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4896/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีซื้อขายเช็ค: สถานที่ทำสัญญาเป็นมูลคดี แม้ปฏิเสธการจ่ายเช็คอยู่ที่สาขาอื่น
คำว่า มูลคดีเกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(1) หมายถึงเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ระบุว่า โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้ จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์ ณ ที่ทำการของโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1เช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกัน มิได้ฟ้องแต่เพียงให้ผู้สั่งจ่ายรับผิดชำระเงินตามเช็คเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิที่ทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้องจึงเกิดขึ้นในเขตศาลแพ่งกรุงเทพใต้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(1) โจทก์จึงมีอำนาจเสนอคำฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4884/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดราคาซื้อขายรถยนต์เช่าซื้อที่สูงกว่าความเป็นจริง จำเลยต้องยกข้อเท็จจริงราคาปัจจุบันที่ชัดเจนต่อศาลจึงจะรับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นกำหนดราคารถยนต์ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนได้เป็นเงิน 320,000 บาท ค่าขาดประโยชน์เดือนละ7,000 บาท 9 เดือน เป็นเงิน 63,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าขาดประโยชน์เหลือเดือนละ 4,000 บาท 9 เดือน เป็นเงิน 36,000 บาทให้จำเลยทั้งสองชดใช้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ราคารถยนต์และค่าขาดประโยชน์ที่ศาลชั้นต้นกำหนดและศาลอุทธรณ์แก้ไขในส่วนนี้ จำเลยทั้งสองยังไม่อาจเห็นพ้องด้วยเพราะเป็นราคาที่กำหนดไว้สูงกว่าความเป็นจริงในปัจจุบันมาก โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้ระบุว่าราคารถยนต์และค่าขาดประโยชน์ในปัจจุบันควรเป็นจำนวนเท่าใด ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องที่กำหนดให้ศาลรู้ได้เอง ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้จึงเป็นการไม่ยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างโดยชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ทรัพย์สินที่ทำการเช่าซื้อกันนั้นผู้ให้เช่าซื้ออาจนำทรัพย์สินที่จะมีกรรมสิทธิ์ในอนาคตออกให้เช่าซื้อล่วงหน้าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4884/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดราคาซื้อขายรถยนต์เช่าซื้อ และอำนาจฟ้องของเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอนาคต
ศาลชั้นต้นกำหนดราคารถยนต์ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนได้เป็นเงิน 320,000 บาท ค่าขาดประโยชน์เดือนละ 7,000 บาท 9 เดือน เป็นเงิน 63,000 บาท โดยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าขาดประโยชน์เหลือเดือนละ 4,000 บาท 9 เดือนเป็นเงิน 36,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองชดใช้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ราคารถยนต์และค่าขาดประโยชน์ที่ศาลชั้นต้นกำหนดและศาลอุทธรณ์แก้ไขในส่วนนี้ จำเลยทั้งสองยังไม่อาจเห็นพ้องด้วย เพราะเป็นราคาที่กำหนดไว้สูงกว่าความเป็นจริงในปัจจุบันมากโดยจำเลยทั้งสองไม่ได้ระบุว่าราคารถยนต์และค่าขาดประโยชน์ในปัจจุบันควรเป็นจำนวนเท่าใด ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องที่กำหนดให้ศาลรู้ได้เอง ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ จึงเป็นการไม่ยกข้อเท็จจริงขึ้นอ้างโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์เพิ่งมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อภายหลังวันทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ให้การไว้ ศาลก็ชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยเพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ทรัพย์สินที่ทำการเช่าซื้อกันนั้นผู้ให้เช่าซื้ออาจนำทรัพย์สินที่จะมีกรรมสิทธิ์ในอนาคตออกให้เช่าซื้อล่วงหน้าได้
of 98