พบผลลัพธ์ทั้งหมด 974 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4156/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีไม่มีข้อยุ่งยาก การขาดนัดยื่นคำให้การ และผลของการอนุญาตเลื่อนคดี
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 196 วรรคสองประกอบมาตรา 193 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสามและวรรคสี่เดิมกรณีที่จะถือว่าจำเลยในคดีไม่มีข้อยุ่งยากขาดนัดยื่นคำให้การ คือกรณีที่จำเลยมาศาลตามวันที่กำหนดในหมายเรียกแต่ไม่ยอมให้การโดยศาลไม่ต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแต่ประการใดแต่คดีนี้ในวันนัดแก้ข้อหาและนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าว ทนายจำเลยได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดี และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีแล้วถือได้ว่าเป็นการเลื่อนทั้งคดีซึ่งหมายถึงการให้การแก้ข้อหาและสืบพยานโจทก์ด้วย มิใช่กรณีที่จำเลยมาศาลแต่ไม่ยอมให้การ และศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่ยอมให้เลื่อนเวลาให้จำเลยยื่นคำให้การและดำเนินการพิจารณาต่อไปตามที่กฎหมายกำหนดแต่ประการใด ศาลชั้นต้นจึงควรกำหนดวันนัดให้จำเลยแก้ข้อหาใหม่การที่ศาลชั้นต้นด่วนมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ จำเลยจึงไม่จำต้องยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การแต่อย่างใดแม้การที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การและศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้องก็ตาม ก็หามีผลให้คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การกลับเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4156/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีไม่มีข้อยุ่งยาก การขาดนัดยื่นคำให้การเมื่อมีการเลื่อนคดี ศาลต้องกำหนดวันนัดแก้ข้อหาใหม่
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องคดีนี้เป็นคดีไม่มีข้อยุ่งยากซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 196 วรรคสอง (เดิม) ประกอบมาตรา 193 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสามและวรรคสี่ (เดิม) บัญญัติถึงกรณีที่จะถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การนั้น คือ กรณีที่จำเลยมาศาลตามวันที่กำหนดในหมายเรียกแต่ไม่ยอมให้การโดยศาลไม่ต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแต่ประการใด แต่คดีนี้ในวันนัดแก้ข้อหาและนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าว ทนายจำเลยได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดี และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีแล้วถือได้ว่าเป็นการเลื่อนทั้งคดีซึ่งหมายถึงการให้การแก้ข้อหาและสืบพยานโจทก์ด้วย มิใช่กรณีที่จำเลยมาศาลแต่ไม่ยอมให้การ และศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่ยอมให้เลื่อนเวลา ให้จำเลยยื่นคำให้การและดำเนินการพิจารณาต่อไปตามที่กฎหมายกำหนดแต่ประการใด ศาลชั้นต้นจึงควรกำหนด วันนัดให้จำเลยแก้ข้อหาใหม่ การที่ศาลชั้นต้นด่วนมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ จำเลยจึงไม่จำต้องยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การแต่อย่างใด แม้การที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การและศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้องก็ตาม ก็หามีผลให้คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การให้กลับเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4153-4154/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำให้การนอกเหนือกรอบเดิมและการไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ ศาลฎีกามีคำพิพากษาไม่รับวินิจฉัย
การที่จำเลยเพิ่งยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การภายหลังที่ยื่นคำให้การแล้วเกือบ 3 ปี และเป็นเวลาภายหลัง ที่สืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว โดยอ้างเพียงว่าเพิ่งค้นพบสำเนาตารางกรมธรรม์ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเรียกกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวไปยังจำเลยตามคำขอของโจทก์ แต่จำเลยก็มิได้ส่งต่อศาล เช่นนี้ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การจึงชอบแล้ว ดังนั้นที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาท ตามตารางกรมธรรม์ประกันภัยตามที่ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ จึงเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4039/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รวมหนี้สินเชื่อได้ - ค่าขึ้นศาลคำนวณจากทุนทรัพย์รวม
โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสถาบันการเงินประกอบธุรกิจด้วยการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้า ซึ่งทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะโดยการให้กู้ยืมเงิน ให้เบิกเงินเกินบัญชี ขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือด้วยประการอื่นที่สามารถทำได้ในการให้เงินหรือหลักประกันแก่ลูกค้าโดยได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบี้ยหรือประโยชน์อื่นจำเลยเป็นลูกค้าโจทก์ ย่อมสามารถทำธุรกิจการเงินกับโจทก์ได้โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นวิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว การที่จำเลยกู้ยืมเงิน ขอเบิกเงินเกินบัญชีและขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์ แม้จะเรียกชื่อวิธีการก่อให้เกิดหนี้ต่างกันแต่ทุกประการล้วนแต่เป็นการขอสินเชื่อจากโจทก์นั่นเอง จำเลยจึงสามารถนำที่ดินและทรัพย์สินหลายรายการมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ก่อขึ้นทั้งหมดกับโจทก์ โดยมิได้แบ่งแยกว่าทรัพย์รายใดประกันหนี้ประเภทไหนรายการใด มูลหนี้ทั้งหมดจึงเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมพิจารณาเข้าด้วยกันได้ โจทก์จึงนำสินเชื่อทุกชนิดมารวมกันเป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องฟ้องมาเป็นคดีเดียวกันได้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในอัตราสูงสุดตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ.ข้อ (1) ก. ชอบแล้ว การที่ศาลชั้นต้นเรียกให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมโดยแยกเป็นมูลหนี้แต่ละรายการ จึงเป็นการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเกินกว่าที่จะต้องเสีย จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกเก็บเกินจากสองแสนบาทคืนโจทก์
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2543)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2543)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4039/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมมูลหนี้จากการปล่อยสินเชื่อหลายประเภทเพื่อคำนวณค่าขึ้นศาล
โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสถาบันการเงินประกอบธุรกิจด้วยการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้า ซึ่งทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะโดยการให้กู้ยืมเงินให้เบิกเงินเกินบัญชี ขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือด้วยประการอื่นที่สามารถ ทำได้ในการให้เงินหรือหลักประกันแก่ลูกค้าโดยได้รับประโยชน์ตอบแทน เป็นดอกเบี้ยหรือประโยชน์อื่นจำเลยเป็นลูกค้าโจทก์ ย่อมสามารถทำ ธุรกิจการเงินกับโจทก์ได้โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นวิธีใดวิธีหนึ่ง เพียงอย่างเดียว การที่จำเลยกู้ยืมเงิน ขอเบิกเงินเกินบัญชีและขายลด ตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์ แม้จะเรียกชื่อวิธีการก่อให้เกิดหนี้ต่างกัน แต่ทุกประการล้วนแต่เป็นการขอสินเชื่อจากโจทก์นั่นเอง จำเลยจึง สามารถนำที่ดินและทรัพย์สินหลายรายการมาจดทะเบียนจำนอง เป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ก่อขึ้นทั้งหมดกับโจทก์ โดยมิได้ แบ่งแยกว่าทรัพย์รายใดประกันหนี้ประเภทไหนรายการใด มูลหนี้ทั้งหมดจึงเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมพิจารณาเข้าด้วยกันได้ โจทก์จึงนำสินเชื่อทุกชนิดมารวมกันเป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ฟ้องมาเป็นคดีเดียวกัน ได้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ในอัตราสูงสุดตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ(1)ก. ชอบแล้ว การที่ศาลชั้นต้นเรียกให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเติม โดยแยกเป็นมูลหนี้แต่ละรายการ จึงเป็นการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเกินกว่า ที่จะต้องเสีย จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกเก็บเกินจากสองแสนบาท คืนโจทก์ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2543)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาต้องมีปัญหาข้อกฎหมายที่ชัดเจน หากมีข้อเท็จจริงต้องวินิจฉัยก่อน การอุทธรณ์จึงไม่ชอบ
โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 13,172 บาท ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ และขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 3ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีอย่างเป็นหนี้ร่วมด้วย แต่โจทก์บรรยายฟ้องโดยมิได้แยกส่วนที่เป็นเบี้ยประกันภัยออกต่างหาก และศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ชี้สองสถานไว้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,976,386.78 บาทพร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์ เมื่อมีปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ชดใช้นั้นรวมเบี้ยประกันแล้วหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของมาตรา 223 ทวิ และต้องพิจารณาข้อเท็จจริงก่อน
โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 13,172 บาทขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์และขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีอย่างเป็นหนี้ร่วมด้วย แต่โจทก์บรรยายฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 2,567,362.10 บาทโดยมิได้แยกส่วนที่เป็นเบี้ยประกันภัยออกต่างหากศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ชี้สองสถานไว้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน1,976,386.78 บาทพร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่าจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ชดใช้นั้นรวมเบี้ยประกันแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องวินิจฉัยก่อน การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาต้องพิจารณาข้อเท็จจริงก่อน หากยังไม่ชัดเจนการอนุญาตให้ขึ้นศาลฎีกาไม่ชอบ
โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 13,172 บาทขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ และขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นสามีอย่างเป็นหนี้ร่วมด้วย แต่โจทก์บรรยายฟ้องโดยมิได้แยกส่วนที่เป็นเบี้ยประกันภัยออกต่างหาก และศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามประเด็นข้อพิพาทที่ชี้สองสถานไว้ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน1,976,386.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์ เมื่อมีปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ชดใช้นั้นรวมเบี้ยประกันแล้วหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4004/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่วางค่าธรรมเนียม ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเอง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยทั้งสามกับให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2เนื่องจากโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดยื่นคำให้การ โดยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จำเลยทั้งสามจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229
จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4004/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากมิได้วางเงินค่าธรรมเนียม ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยทั้งสาม กับขอให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2เนื่องจากโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดยื่นคำให้การ โดยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จำเลยทั้งสามจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229
จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง
จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง