พบผลลัพธ์ทั้งหมด 974 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2799/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โอนโดยส่งมอบ สิทธิของผู้ทรงเช็ค การพิสูจน์ความสุจริต
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือโจทก์เป็นผู้ถือเช็คพิพาทไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็ค ตาม ป.พ.พ.มาตรา 904 เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยผู้ลงลายมือชื่อในเช็คจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค ตาม มาตรา 900 เช็คพิพาทสูญหายไปขณะเก็บไว้ในลิ้นชักหน้ารถยนต์ขณะนำรถยนต์ไปจอดที่บริเวณตลาดอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 25 มกราคม2539 นั้น จำเลยก็มิได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและขออายัดเช็คพิพาทไว้โดยทันทีในวันนั้น กลับได้ความว่าจำเลยเพิ่งจะไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและขออายัดเช็คพิพาทที่ธนาคารในวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดการใช้เงินวันที่ 29 มกราคม2539 ทั้ง ๆ ที่วันเกิดเหตุที่จำเลยอ้างว่าเช็คพิพาทสูญหายไปนั้นจำเลยอยู่ที่อำเภออู่ทองจังหวัดสุพรรณบุรี อันเป็นที่ตั้งของธนาคารตามเช็คพิพาทอยู่แล้ว จำเลยน่าจะแจ้งความและขออายัดเช็คเสียเลยในวันเกิดเหตุเพราะนอกจากเช็คพิพาทจะสูญหายไปแล้วยังมีเช็คอีกฉบับหนึ่งตามที่จำเลยอ้างซึ่งถึงกำหนดการใช้เงินแล้วสูญหายไปในคราวเดียวกันนั้นด้วย เพื่อธนาคารจะได้ระงับการจ่ายเงินตามเช็คที่ถึงกำหนดดังกล่าวได้ทันทีจำเลยจะได้ไม่เสียหาย แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตำบลหนองโสน อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ตำบลเดียวกันกับภูมิลำเนาของโจทก์และคนละจังหวัดกับที่เกิดเหตุที่อ้างว่าเช็คหาย กลับเพิ่งแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและขออายัดเช็คที่หายเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2539 ตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 อันเป็นพิรุธและเมื่อพิจารณาคำเบิกความของนายวิชัย การสุจริตสมุห์บัญชีธนาคารตามเช็คพิพาทพยานโจทก์ประกอบรายการบัญชีกระแสรายวันของจำเลยตามเอกสารหมาย ป.จ.3(ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี) ปรากฏว่าก่อนวันที่ 29 มกราคม 2539 ซึ่งเป็นวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดการใช้เงินจำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชี โดยในวันที่ 29 มกราคม 2539นั้นเองจำเลยนำเงินเข้าบัญชีเท่ากับจำนวนเงินตามเช็คพิพาทคือ 65,000 บาทแล้วจำเลยก็สั่งอายัดเช็คพิพาทต่อธนาคาร ครั้นวันรุ่งขึ้นจำเลยก็ถอนเงินออกจากบัญชีจำนวน 50,000 บาท วันถัดไปจำเลยก็ถอนเงินออกจากบัญชีอีก 15,000 บาทจนไม่มีเงินอยู่ในบัญชีของจำเลยเลย เสมือนเป็นการเตรียมการล่วงหน้าโดยการนำเงินเข้าบัญชีในวันเช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงินเพื่อเป็นหลักฐานในการต่อสู้ว่ามีเงินในบัญชีพอจะจ่ายตามเช็คพิพาทได้และขออายัดเช็คพิพาทในวันนั้นแล้วก็ถอนเงินออกจากบัญชีหมดในสองวันต่อมา เจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ที่ว่านางอนงค์นำเช็คพิพาทมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ซึ่งจำเลยก็ทราบว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คก่อนเช็คถึงกำหนดใช้เงินนางอนงค์แจ้งให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2539 เพราะจำเลยนำเงินเข้าบัญชีไม่ทันครั้นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่า มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่าเช็คหาย ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 และป.จ.2 (ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี) ข้อนำสืบต่อสู้คดีของจำเลยเป็นพิรุธย่อมไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งได้รับประโยชน์จาก ป.พ.พ. มาตรา900 และมาตรา 904 ที่บัญญัติรับรองได้
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือย่อมโอนกันได้เพียงส่งมอบเช็คให้แก่กันผู้ถือเช็คไว้ในครอบครองก็เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ.มาตรา 904 แล้ว และแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่ารับเช็คพิพาทมาจากจำเลย แต่โจทก์นำสืบว่ารับเช็คพิพาทมาจาก อ.ก็ไม่ทำให้คดีของโจทก์รับฟังไม่ได้ เพราะแม้โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าโจทก์รับเช็คพิพาทมาอย่างไร ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คโดยชอบเสียไป
โจทก์รับเช็คพิพาทมาโดยมิได้ให้ อ.ผู้โอนสลักหลังก็เนื่องจากเช็คพิพาทเป็นเช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ซึ่งย่อมโอนไปเพียงส่งมอบให้แก่กัน การที่อ.จะไม่ได้ลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทหรือไม่ได้เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ โดยจำเลยไม่ได้นำสืบถึงเหตุแห่งความไม่สุจริตของโจทก์ดังกล่าวนั้น ยังไม่พอฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยไม่สุจริต
โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือซึ่งสามารถโอนกันได้เพียงส่งมอบเช็คพิพาทเท่านั้นเมื่อไม่ปรากฏว่ามีประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยว่าการโอนเช็คพิพาทดังกล่าวมีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล ดังนั้นหนี้ระหว่างจำเลยกับ อ.จะเป็นหนี้อะไรย่อมไม่เป็นสาระในการวินิจฉัยคดีนี้
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือย่อมโอนกันได้เพียงส่งมอบเช็คให้แก่กันผู้ถือเช็คไว้ในครอบครองก็เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ.มาตรา 904 แล้ว และแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่ารับเช็คพิพาทมาจากจำเลย แต่โจทก์นำสืบว่ารับเช็คพิพาทมาจาก อ.ก็ไม่ทำให้คดีของโจทก์รับฟังไม่ได้ เพราะแม้โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าโจทก์รับเช็คพิพาทมาอย่างไร ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คโดยชอบเสียไป
โจทก์รับเช็คพิพาทมาโดยมิได้ให้ อ.ผู้โอนสลักหลังก็เนื่องจากเช็คพิพาทเป็นเช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ซึ่งย่อมโอนไปเพียงส่งมอบให้แก่กัน การที่อ.จะไม่ได้ลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทหรือไม่ได้เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ โดยจำเลยไม่ได้นำสืบถึงเหตุแห่งความไม่สุจริตของโจทก์ดังกล่าวนั้น ยังไม่พอฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยไม่สุจริต
โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือซึ่งสามารถโอนกันได้เพียงส่งมอบเช็คพิพาทเท่านั้นเมื่อไม่ปรากฏว่ามีประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยว่าการโอนเช็คพิพาทดังกล่าวมีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล ดังนั้นหนี้ระหว่างจำเลยกับ อ.จะเป็นหนี้อะไรย่อมไม่เป็นสาระในการวินิจฉัยคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2708/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งทรัพย์สินหลังเลิกหุ้นส่วน-การชำระเงินทดรองค่าที่ดิน-อำนาจศาล-ข้อเท็จจริงไม่เพียงพอ
แม้ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ผู้เป็นตัวการชดใช้เงินที่จำเลยทั้งสองผู้เป็นตัวแทนออกเงินทดรองหรือค่าใช้จ่ายไปดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 816 ได้ โดยที่จำเลยทั้งสองไม่ได้ฟ้องแย้งมาด้วยก็ตาม แต่ในคดีนี้ ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาไม่ได้ความว่าจำเลยทั้งสองได้ออกเงินทดรองชำระราคาที่ดินแทนในส่วนของโจทก์เป็นเงินจำนวนเท่าใด อีกทั้งอุทธรณ์ของโจทก์ก็ได้ความเพียงว่า "สำหรับที่ดินพิพาททั้งสิบสองโฉนด จำเลยทั้งสองออกเงินทดรองจ่ายเป็นค่าที่ดินรวม 4 โฉนด ไปจำนวนเท่าใด ก็สามารถเรียกเก็บจากโจทก์ได้ตามส่วน" เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้โจทก์ชดใช้เงินค่าทดรองจ่ายจำนวนโฉนดละ 70,000 บาท รวม 4 โฉนด แก่จำเลยทั้งสองก่อนรับแบ่งที่ดิน จึงหาชอบด้วยข้อเท็จจริงไม่ จำเลยทั้งสองจะมีสิทธิเรียกร้องเงินที่ทดรองจ่ายไปสำหรับที่ดินพิพาทอย่างไรก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่โจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2629/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาที่ไม่ชอบ และอำนาจศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวเนื่องกับความสงบเรียบร้อย
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยแถลงรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงตามฟ้อง คู่ความประสงค์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ขอเลื่อนไปเจรจาในรายละเอียดอีกครั้ง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือฟังคำพิพากษาก็เพราะเห็นว่าถ้าคู่ความไม่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความก็พิพากษาคดีไปได้โดยไม่ต้องมีการสืบพยาน วันที่เลื่อนมาจึงไม่ใช่วันนัดสืบพยานโจทก์ เมื่อทนายจำเลยไม่มาศาล แต่ศาลชั้นต้นกำหนดเอาเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันนั้นเอง แล้วมีคำสั่งให้จำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจำเลยไม่ทราบล่วงหน้า เป็นการพิจารณาโดยขาดนัดที่ไม่ชอบและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นโดยให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2527/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้เข้าสู้ราคาในการเพิกถอนการขายทอดตลาดเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติมิชอบ และประเด็นส่วนได้เสียในการอ้างราคาต่ำ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280 เป็นเพียงบทสันนิษฐานเพื่อประโยชน์แห่งบทบัญญัติในภาค 4 ว่าด้วยวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาและการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ที่ให้ถือว่าบุคคลตามที่ระบุไว้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในวิธีบังคับคดีเท่านั้น มิได้หมายความว่าบุคคลอื่นนอกจากที่ระบุไว้แล้วจะเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ได้ผู้ร้องที่ 2 เป็นผู้เข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดอ้างว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดโดยมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่แจ้งแก่ผู้เข้าสู้ราคา ทำให้ผู้ร้องที่ 2 ไม่มีโอกาสเสนอราคาเพิ่มสูงขึ้น เป็นกรณีที่ผู้ร้องที่ 2 อ้างว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งและเป็นเหตุโดยตรงให้ผู้ร้องที่ 2 ต้องเสียหายโดยการฝ่าฝืนนั้น จึงเป็นบุคคลภายนอกที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายโดยการฝ่าฝืนนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองมีสิทธิขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
ข้อโต้แย้งว่าราคาทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดต่ำหรือไม่ เป็นข้อโต้แย้งหรือส่วนได้เสียของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280 โดยตรงผู้ร้องที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงผู้เข้าสู้ราคา ไม่มีสิทธิกล่าวอ้างในประเด็นดังกล่าว
ข้อโต้แย้งว่าราคาทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดต่ำหรือไม่ เป็นข้อโต้แย้งหรือส่วนได้เสียของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280 โดยตรงผู้ร้องที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงผู้เข้าสู้ราคา ไม่มีสิทธิกล่าวอ้างในประเด็นดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2527/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดของผู้เข้าสู้ราคาที่ได้รับความเสียหายจากการฝ่าฝืนขั้นตอนบังคับคดี
แม้ผู้ร้องที่ 2 มิได้เป็นบุคคลตามที่ ป.วิ.พ. มาตรา 280 บัญญัติไว้ กล่าวคือ ผู้ร้องที่ 2 มิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือลูกหนี้แห่งสิทธิเรียกร้องที่ถูกอายัด และมิใช่ผู้ที่ชอบจะใช้สิทธิอันได้จดทะเบียนไว้โดยชอบ หรือผู้ที่ได้ยื่นคำร้องขอตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 288, 289 และ 290 อันเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ถูกบังคับคดี แต่บทบัญญัติตามมาตรา 280 ดังกล่าว เป็นเพียงบทสันนิษฐานเพื่อประโยชน์แห่งบทบัญญัติในภาค 4 ว่าด้วยวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาและการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ที่ให้ถือว่าบุคคลตามที่ระบุไว้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในวิธีบังคับคดีเท่านั้น มิได้หมายความว่าบุคคลอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 280 แล้ว จะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในวิธีบังคับคดีไม่ได้
คดีนี้ผู้ร้องที่ 2 เป็นผู้เข้าสู้ราคาคนหนึ่งในการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ผู้ร้องที่ 2 อ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดโดยมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้แจ้งแก่ผู้เข้าสู้ราคา และมีผลทำให้ผู้ร้องที่ 2 ไม่มีโอกาสเสนอราคาเพิ่มสูงขึ้น เป็นกรณีที่ผู้ร้องที่ 2 อ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง และเป็นเหตุโดยตรงให้ผู้ร้องที่ 2 ต้องเสียหายโดยการฝ่าฝืนนั้น ผู้ร้องที่ 2 จึงเป็นบุคคลภายนอกที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายโดยการฝ่าฝืนนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง ผู้ร้องที่ 2 มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้
ข้อโต้แย้งที่ว่าราคาทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดต่ำหรือไม่นั้น เป็นข้อโต้แย้งหรือส่วนได้เสียของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลตามที่ระบุไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 280 โดยตรง ไม่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงผู้เข้าสู้ราคาแต่อย่างใด ผู้ร้องที่ 2 จึงไม่มีสิทธิกล่าวอ้างหรือฎีกาในประเด็นดังกล่าว
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2543)
คดีนี้ผู้ร้องที่ 2 เป็นผู้เข้าสู้ราคาคนหนึ่งในการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ผู้ร้องที่ 2 อ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดโดยมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้แจ้งแก่ผู้เข้าสู้ราคา และมีผลทำให้ผู้ร้องที่ 2 ไม่มีโอกาสเสนอราคาเพิ่มสูงขึ้น เป็นกรณีที่ผู้ร้องที่ 2 อ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง และเป็นเหตุโดยตรงให้ผู้ร้องที่ 2 ต้องเสียหายโดยการฝ่าฝืนนั้น ผู้ร้องที่ 2 จึงเป็นบุคคลภายนอกที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายโดยการฝ่าฝืนนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง ผู้ร้องที่ 2 มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้
ข้อโต้แย้งที่ว่าราคาทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดต่ำหรือไม่นั้น เป็นข้อโต้แย้งหรือส่วนได้เสียของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา หรือบุคคลตามที่ระบุไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 280 โดยตรง ไม่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงผู้เข้าสู้ราคาแต่อย่างใด ผู้ร้องที่ 2 จึงไม่มีสิทธิกล่าวอ้างหรือฎีกาในประเด็นดังกล่าว
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2543)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2402/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการแปรสภาพบริษัท: สิทธิและอำนาจตามสัญญาเช่าซื้อยังคงมีผลผูกพันกับบริษัทที่แปรสภาพ
พ.ร.บ.บริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 อนุญาตให้บริษัทเอกชนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนได้ เมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนการแปรสภาพเป็นบริษัทตาม พ.ร.บ.นี้ บริษัทเอกชนเดิมหมดสภาพจากการเป็นบริษัทจำกัด แต่มาตรา 185 แห่ง พ.ร.บ.มหาชน จำกัดฯ ยังคงรับรองถึงความเกี่ยวพันระหว่างบริษัทเอกชนเดิมที่หมดสภาพด้วยการแปรสภาพใหม่เป็นบริษัทมหาชนว่า บริษัทที่แปรสภาพแล้วย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ และความรับผิดของบริษัทเอกชนเดิมทั้งหมด
บริษัท ส.ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนเดิมก่อนแปรสภาพได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ ส.ลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนบริษัทได้ หนังสือดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดสิทธิหรือความรับผิดอันโอนไปยังบริษัทโจทก์ซึ่งแปรสภาพมาได้ เมื่อหนังสือดังกล่าวยังอยู่ในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ ส.จึงยังคงมีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ได้
บริษัท ส.ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนเดิมก่อนแปรสภาพได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ ส.ลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนบริษัทได้ หนังสือดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดสิทธิหรือความรับผิดอันโอนไปยังบริษัทโจทก์ซึ่งแปรสภาพมาได้ เมื่อหนังสือดังกล่าวยังอยู่ในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ ส.จึงยังคงมีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2402/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของหนังสือมอบอำนาจหลังแปรสภาพบริษัท: อำนาจตัวแทนยังคงมีผลผูกพันบริษัทที่แปรสภาพหรือไม่
พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 อนุญาตให้บริษัทเอกชนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนได้ เมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนการแปรสภาพเป็นบริษัทตามพระราชบัญญัตินี้ บริษัท เอกชนเดิมหมดสภาพจากการเป็นบริษัทจำกัด แต่มาตรา 185 แห่งพระราชบัญญัติมหาชน จำกัดฯ ยังคงรับรองถึงความเกี่ยวพันระหว่างบริษัทเอกชนเดิมที่หมดสภาพด้วยการแปรสภาพใหม่เป็นบริษัทมหาชนว่าบริษัทที่แปรสภาพแล้วย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ และความรับผิดของบริษัทเอกชนเดิมทั้งหมด
บริษัท ส. ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนเดิมก่อนแปรสภาพได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ ส. ลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนบริษัทได้ หนังสือดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดสิทธิหรือความรับผิดอันโอนไปยังบริษัทโจทก์ซึ่งแปรสภาพมาได้ เมื่อหนังสือดังกล่าวยังอยู่ในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ ส. จึงยังคงมีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ได้
บริษัท ส. ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนเดิมก่อนแปรสภาพได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ ส. ลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนบริษัทได้ หนังสือดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดสิทธิหรือความรับผิดอันโอนไปยังบริษัทโจทก์ซึ่งแปรสภาพมาได้ เมื่อหนังสือดังกล่าวยังอยู่ในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ ส. จึงยังคงมีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2394/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนการผลิตยาเสพติด: จำเลยจัดหาสารเคมีแต่ไม่ร่วมผลิต ไม่ผิดฐานสนับสนุนการมีไว้ในครอบครอง และไม่สามารถปรับบทลงโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดได้
จำเลยเพียงแต่จัดหาสารเคมีเพื่อใช้ผลิตวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ให้แก่กลุ่มผู้ผลิต แต่มิได้เข้าไปร่วมผลิตหรือกระทำการใดอันเป็นการสนับสนุนให้จำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่ง มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ ในประเภท 2 ที่ผลิตขึ้น จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต คงมีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวผลิตเมทแอมเฟตามีน อีกทั้งจะนำ พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1) มาปรับบทโดยระวางโทษจำเลยเช่นเดียวกับตัวการก็มิได้ เพราะคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้อ้างถึง พ.ร.บ. ฉบับนี้มาเป็นบทที่ขอให้ลงโทษจำเลย ย่อมถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2394/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนการผลิตยาเสพติด: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิมว่าจำเลยมีความผิดฐานสนับสนุนการผลิต แต่ไม่มีความผิดฐานสนับสนุนการครอบครอง
เจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่สืบสวนและจับกุมได้ดำเนินงานสืบสวนเป็นระบบขั้นตอนและต้องใช้ระยะเวลาต่อเนื่องนานถึงหนึ่งเดือนครึ่งจึงจับกุมจำเลยแปดคนในคดีอาญาอีกคดีหนึ่ง อีกทั้งในการปฏิบัติงานก็ได้มีการถ่ายรูปและทำรายงานการปฏิบัติงานไว้โดยตลอด ทั้งสารเคมีที่ตรวจยึดได้มีลักษณะเดียวกันกับถังสารเคมีที่มีผู้ไปรับจากจำเลย จึงมีน้ำหนักรับฟังได้แน่ชัดแล้วว่าจำเลยร่วมอยู่ในขบวนการของกลุ่มในการลักลอบผลิตวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยสนับสนุนจำเลยแปดคนในคดีอาญาอีกคดีหนึ่งผลิตเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง ส่วนการที่เจ้าพนักงานมิได้จับกุมจำเลยในขณะที่เห็นเหตุการณ์นั้น เนื่องจากคนร้ายกลุ่มนี้กระทำผิดเป็นขบวนการ การที่เจ้าพนักงานจะเข้าจับกุมทันทีในเหตุการณ์ตอนหนึ่งตอนใดหรือไม่ ย่อมเป็นไปได้ที่จะต้องคำนึงถึงผลสำเร็จในการปราบปรามในภาพรวมทั้งหมดเป็นสำคัญการไม่เข้าจับกุมจำเลยทันทีจึงหาเป็นข้อผิดปกติไม่
จำเลยเพียงแต่จัดหาสารเคมีเพื่อใช้ผลิตวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ให้แก่กลุ่มผู้ผลิต แต่มิได้เข้าไปร่วมผลิตหรือกระทำการใดอันเป็นการสนับสนุนให้จำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่งมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ที่ผลิตขึ้นจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต คงมีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวผลิตเมทแอมเฟตามีน อีกทั้งจะนำพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 6(1) มาปรับบทโดยระวางโทษจำเลยเช่นเดียวกับตัวการก็มิได้ เพราะคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้อ้างถึงพระราชบัญญัติฉบับนี้มาเป็นบทที่ขอให้ลงโทษจำเลย ย่อมถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
จำเลยเพียงแต่จัดหาสารเคมีเพื่อใช้ผลิตวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ให้แก่กลุ่มผู้ผลิต แต่มิได้เข้าไปร่วมผลิตหรือกระทำการใดอันเป็นการสนับสนุนให้จำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่งมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ที่ผลิตขึ้นจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต คงมีความผิดฐานสนับสนุนจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวผลิตเมทแอมเฟตามีน อีกทั้งจะนำพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 6(1) มาปรับบทโดยระวางโทษจำเลยเช่นเดียวกับตัวการก็มิได้ เพราะคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้อ้างถึงพระราชบัญญัติฉบับนี้มาเป็นบทที่ขอให้ลงโทษจำเลย ย่อมถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่