พบผลลัพธ์ทั้งหมด 974 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3742/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตให้สืบพยานเพิ่มเติมและการพิจารณาค่าขึ้นศาลในคดีที่มีทุนทรัพย์น้อยกว่า 200,000 บาท
คดีนี้เป็นคดีที่ผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านที่ 1 ต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวตาม ป.วิ.พ.มาตรา 55 การพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านที่ 1 ต้องพิจารณาแต่ละคนแยกกัน เมื่อปรากฏว่าราคาที่ดินที่ผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านที่ 1 เรียกร้องว่าเป็นของตนนั้นมีราคาไม่เกิน200,000 บาท จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านที่ 1 จึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 86 วรรคสาม ในกรณีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เมื่อศาลเห็นว่าเป็นการจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติม ศาลจะเรียกอะไรมาเป็นพยานหลักฐานเพื่อประกอบคดีอีกก็ได้ แม้จะเป็นพยานหลักฐานของคู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนซึ่งศาลสั่งงดสืบพยานไปแล้วก็ตาม
คดีนี้ศาลชั้นต้นหยิบยกเหตุผลในคำสั่งว่า หากศาลสูงไม่เห็นด้วยกับคำสั่งที่ตัดพยานผู้ร้อง ก็อาจย้อนสำนวนมาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่คู่ความทุกฝ่าย ฝ่ายผู้คัดค้านที่ได้ทำการสืบพยานไปบ้างแล้วก็ได้สืบพยานอย่างเต็มที่ ทั้งผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ก็ร้องขอครอบครองปรปักษ์อยู่ด้วยผู้ร้องหรือผู้คัดค้านจะนำพยานเข้าสืบก่อนหรือหลังก็ไม่ทำให้ได้เปรียบเสียเปรียบกันแต่อย่างใด นอกจากนี้พยานผู้คัดค้านก็ยังสืบไม่เสร็จ ซึ่งผู้คัดค้านมีสิทธินำพยานเข้าสืบได้อีกจนสิ้นกระแสความ ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้ผู้ร้องทั้งห้านำพยานเข้าสืบได้ภายหลังที่ได้สืบพยานผู้คัดค้านทั้งสามเสร็จสิ้น และปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสแก่ผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านพยานผู้ร้องทั้งห้าแล้ว แต่ผู้คัดค้านทั้งสามไม่ติดใจถามค้านเอง คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการปฏิบัติไปโดยชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 86วรรคสาม
ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายของผู้คัดค้านทั้งสาม เพียงขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้เดินเผชิญสืบตามคำร้องของผู้ร้องทั้งห้า และคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องทั้งห้ายื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมและคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องทั้งห้าสืบพยานหลังจากสืบพยานผู้คัดค้านทั้งสามเสร็จเรียบร้อยแล้วเท่านั้น มิได้ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้คัดค้านทั้งสามชนะคดีมากกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยอาศัยข้ออ้างตามปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว เป็นฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ผู้คัดค้านแต่ละคนต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาคนละ 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2(ข) ท้าย ป.วิ.พ. แต่ผู้คัดค้านทั้งสามเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีการวมกันมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่ผู้คัดค้านทั้งสาม
ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 86 วรรคสาม ในกรณีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เมื่อศาลเห็นว่าเป็นการจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติม ศาลจะเรียกอะไรมาเป็นพยานหลักฐานเพื่อประกอบคดีอีกก็ได้ แม้จะเป็นพยานหลักฐานของคู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนซึ่งศาลสั่งงดสืบพยานไปแล้วก็ตาม
คดีนี้ศาลชั้นต้นหยิบยกเหตุผลในคำสั่งว่า หากศาลสูงไม่เห็นด้วยกับคำสั่งที่ตัดพยานผู้ร้อง ก็อาจย้อนสำนวนมาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่คู่ความทุกฝ่าย ฝ่ายผู้คัดค้านที่ได้ทำการสืบพยานไปบ้างแล้วก็ได้สืบพยานอย่างเต็มที่ ทั้งผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 ก็ร้องขอครอบครองปรปักษ์อยู่ด้วยผู้ร้องหรือผู้คัดค้านจะนำพยานเข้าสืบก่อนหรือหลังก็ไม่ทำให้ได้เปรียบเสียเปรียบกันแต่อย่างใด นอกจากนี้พยานผู้คัดค้านก็ยังสืบไม่เสร็จ ซึ่งผู้คัดค้านมีสิทธินำพยานเข้าสืบได้อีกจนสิ้นกระแสความ ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้ผู้ร้องทั้งห้านำพยานเข้าสืบได้ภายหลังที่ได้สืบพยานผู้คัดค้านทั้งสามเสร็จสิ้น และปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้ให้โอกาสแก่ผู้คัดค้านทั้งสามถามค้านพยานผู้ร้องทั้งห้าแล้ว แต่ผู้คัดค้านทั้งสามไม่ติดใจถามค้านเอง คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการปฏิบัติไปโดยชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 86วรรคสาม
ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายของผู้คัดค้านทั้งสาม เพียงขอให้ศาลฎีกาเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้เดินเผชิญสืบตามคำร้องของผู้ร้องทั้งห้า และคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องทั้งห้ายื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมและคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องทั้งห้าสืบพยานหลังจากสืบพยานผู้คัดค้านทั้งสามเสร็จเรียบร้อยแล้วเท่านั้น มิได้ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้คัดค้านทั้งสามชนะคดีมากกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยอาศัยข้ออ้างตามปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว เป็นฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ผู้คัดค้านแต่ละคนต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาคนละ 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2(ข) ท้าย ป.วิ.พ. แต่ผู้คัดค้านทั้งสามเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีการวมกันมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่ผู้คัดค้านทั้งสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3742/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตให้สืบพยานเพิ่มเติมหลังงดสืบพยานเดิม และการฎีกาที่เกินกรอบคำขอศาล, ครอบครองปรปักษ์
ผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินการพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านต้องพิจารณาแต่ละคนแยกกันเมื่อราคาทรัพย์สินที่ผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านเรียกร้องในชั้นฎีกาซึ่งเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทผู้ร้องแต่ละคนและผู้คัดค้านจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง เมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นการจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติมศาลจะเรียกอะไรมาเป็นพยานหลักฐานเพื่อประกอบคดีอีกก็ได้แม้เป็นพยานหลักฐานของคู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนซึ่งศาลสั่งงดสืบพยานไปแล้วก็อยู่ในอำนาจที่จะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา86 ฎีกาผู้คัดค้านเพียงแต่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้เดินเผชิญสืบและที่อนุญาตให้ผู้ร้องยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมกับให้ผู้ร้องสืบพยานหลังจากสืบพยานผู้คัดค้านเสร็จมิได้ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้คัดค้านชนะคดีมากกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา200บาทตามตาราง1ข้อ2(ข)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3742/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการรับพยานเพิ่มเติมแม้สั่งงดสืบไปแล้วเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องนำพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติมจะเรียกอะไรมาเป็นพยานหลักฐานเพื่อประกอบคดีอีกก็ได้แม้จะเป็นพยานหลักฐานของคู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนซึ่งศาลสั่งงดสืบพยานไปแล้วก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3574/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินการตามคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การที่ถูกต้อง การนัดสืบพยานย่อมยกเลิกหากยังไม่ได้ไต่สวนคำร้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่27ธันวาคม2536และจำเลยทราบนัดแล้วแต่ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การเมื่อวันที่21ธันวาคม2536ว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องวันที่7พฤศจิกายน2536จึงได้ติดต่อโจทก์โจทก์นัดให้จำเลยมาทำยอมที่ศาลวันที่17ธันวาคม2536ครั้นถึงกำหนดนัดโจทก์ไม่มาศาลโจทก์หลอกลวงจำเลยเพื่อให้พ้นกำหนดระยะเวลายื่นคำให้การจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การศาลชั้นต้นสั่งคำร้องจำเลยในวันเดียวกันว่า"สำเนาให้โจทก์นัดไต่สวนให้จำเลยนำส่งภายใน7วันไม่พบหรือไม่มีผู้รับให้ปิด"ดังนี้จำเลยต้องนำส่งสำเนาให้แก่โจทก์ภายในวันที่28ธันวาคม2536ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าจะส่งหมายให้แก่โจทก์ได้หรือไม่หรืออาจจะต้องปิดหมายตามคำสั่งของศาลชั้นต้นกรณีถือได้ว่าจำเลยได้แจ้งให้ศาลทราบก่อนเริ่มสืบพยานถึงเหตุที่ตนมิได้ยื่นคำให้การ เมื่อยังไม่ปรากฏว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่หรือมีเหตุสมควรประการอื่นใดศาลชอบที่จะได้ทำการไต่สวนเสียก่อนที่จะมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การตามที่จำเลยร้องขอเมื่อศาลชั้นต้นสั่งนัดไต่สวนไว้แม้จะมิได้กำหนดวันนัดไต่สวนไว้ด้วยก็ต้องถือว่าคดีอยู่ระหว่างการนัดไต่สวนคำร้องวันนัดสืบพยานโจทก์ที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในวันที่27ธันวาคม2536ซึ่งยังอยู่ในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การให้แก่โจทก์ย่อมถือว่ายกเลิกไปโดยปริยายจนกว่าศาลชั้นต้นจะดำเนินการไต่สวนแล้วเสร็จและมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การเสียก่อนการที่ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่27ธันวาคม2536ว่านัดสืบพยานโจทก์และนัดไต่สวนขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยจำเลยไม่มาศาลถือว่าจำเลยไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุนคำร้องให้ฟังได้ว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยมิได้เป็นไปโดยจงใจและยกคำร้องนั้นจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา199วรรคหนึ่งและวรรคสองเพราะศาลชั้นต้นมิได้นัดไต่สวนคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยในวันดังกล่าวและการที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบเช่นกันเพราะคดียังอยู่ในระหว่างระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอยื่นคำให้การแก่โจทก์และวันนัดสืบพยานโจทก์เป็นอันยกเลิกไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3574/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสั่งอนุญาตยื่นคำให้การล่าช้าและการยกเลิกวันนัดสืบพยานโดยปริยาย
วันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 27 ธันวาคม 2536 ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าวจำเลยได้ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม2536 โดยอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องจำเลยในวันดังกล่าวว่า "สำเนาให้โจทก์ นัดไต่สวน ให้จำเลยนำส่งภายใน 7 วัน ไม่พบหรือไม่มีผู้รับให้ปิด" กรณีดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้แจ้งให้ศาลทราบก่อนเริ่มสืบพยานถึงเหตุที่ตนมิได้ยื่นคำให้การ ทั้งข้อเท็จจริงฟังไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ หรือว่าจำเลยมีเหตุสมควรประการอื่นอย่างใด ศาลชอบที่จะได้ทำการไต่สวนเสียก่อน ก่อนที่จะมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การซึ่งแม้ศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดวันนัดไต่สวนไว้ด้วยก็ตาม ก็ต้องถือว่าคดีอยู่ระหว่างการตัดไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ ดังนั้น กำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่27 ธันวาคม 2536 ซึ่งยังอยู่ในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การให้แก่โจทก์นั้น ย่อมถือว่ายกเลิกไปโดยปริยาย ที่ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 27 ธันวาคม 2536 ว่านัดสืบพยานโจทก์และนัดไต่สวนขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลย จำเลยไม่มาศาลในวันดังกล่าว ถือว่าจำเลยไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุนคำร้องให้ฟังได้ว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยมิได้เป็นไปโดยจงใจและยกคำร้องนั้น จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคหนึ่งและวรรคสอง เพราะศาลชั้นต้นมิได้นัดไต่สวนคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยในวันดังกล่าว และการที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว ก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบเช่นกัน เพราะคดียังอยู่ในระหว่างระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอยื่นคำให้การแก่โจทก์และวันนัดสืบพยานโจทก์เป็นอันยกเลิกไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3574/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การและผลกระทบต่อการดำเนินกระบวนพิจารณา: ศาลต้องไต่สวนก่อนมีคำสั่ง
วันนัดสืบพยานโจทก์วันที่27ธันวาคม2536ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าวจำเลยได้ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การเมื่อวันที่21ธันวาคม2536โดยอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การศาลชั้นต้นสั่งคำร้องจำเลยในวันดังกล่าวว่า"สำเนาให้โจทก์นัดไต่สวนให้จำเลยนำส่งภายใน7วันไม่พบหรือไม่มีผู้รับให้ปิด"กรณีดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้แจ้งให้ศาลทราบก่อนเริ่มสืบพยานถึงเหตุที่ตนมิได้ยื่นคำให้การทั้งข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่หรือว่าจำเลยมีเหตุสมควรประการอื่นอย่างใดศาลชอบที่จะได้ทำการไต่สวนเสียก่อนก่อนที่จะมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การซึ่งแม้ศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดวันนัดไต่สวนไว้ด้วยก็ตามก็ต้องถือว่าคดีอยู่ระหว่างการนัดไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การดังนั้นกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่27ธันวาคม2536ซึ่งยังอยู่ในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การให้แก่โจทก์นั้นย่อมถือว่ายกเลิกไปโดยปริยายที่ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่27ธันวาคม2536ว่านัดสืบพยานโจทก์และนัดไต่สวนขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยจำเลยไม่มาศาลในวันดังกล่าวถือว่าจำเลยไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุนคำร้องให้ฟังได้ว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยมิได้เป็นไปโดยจงใจและยกคำร้องนั้นจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา199วรรคหนึ่งและวรรคสองเพราะศาลชั้นต้นมิได้นัดไต่สวนคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยในวันดังกล่าวและการที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบเช่นกันเพราะคดียังอยู่ในระหว่างระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอยื่นคำให้การแก่โจทก์และวันนัดสืบพยานโจทก์เป็นอันยกเลิกไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3493/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ชำระค่าขึ้นศาลฟ้องแย้งทำให้ศาลมีอำนาจไม่รับฟ้องแย้ง แม้มีการอุทธรณ์คำสั่งเรื่องค่าขึ้นศาล
จำเลยชำระค่าขึ้นศาลตามฟ้องแย้งไม่ครบถ้วนศาลชั้นต้นสั่งให้ชำระเพิ่มเติมให้ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งไม่รับคำฟ้องแย้งของจำเลยได้จำเลยจะอ้างการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่องค่าขึ้นศาลมาเป็นเหตุไม่ชำระค่าขึ้นศาลตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3370/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดิน และสิทธิในการติดตามเอาคืนทรัพย์สินจากผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในใบมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้มารดาโจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อ ส.และ ล.น้องของโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ แต่มารดาโจทก์กลับไปกรอกข้อความดำเนินการจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้แก่ตนเอง แล้วมารดาโจทก์จดทะเบียนยกให้แก่จำเลยต่อไป และคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือมอบอำนาจกับหนังสือสัญญาขายที่ดินตามฟ้องเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายและยกให้ดังกล่าว ทั้งขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องด้านทิศใต้เนื้อที่ 6 ไร่เป็นของโจทก์ จึงเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาในการให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิดังกล่าว เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย อันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 การที่โจทก์อุทธรณ์และจำเลยฎีกาต่อมา จึงเป็นการอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 227 ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้าย ป.วิ.พ. มิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย อันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 การที่โจทก์อุทธรณ์และจำเลยฎีกาต่อมา จึงเป็นการอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 227 ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้าย ป.วิ.พ. มิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3370/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกคืนทรัพย์สิน: สิทธิติดตามทรัพย์สินตามมาตรา 1336 ไม่ผูกพันอายุความทั่วไป
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ลงลายมือชื่อในใบมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้มารดาโจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนใส่ชื่อส. และล. น้องของโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์แต่มารดาโจทก์กลับไปกรอกข้อความดำเนินการจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้แก่ตนเองแล้วมารดาโจทก์จะทะเบียนยกให้แก่จำเลยต่อไปและคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือมอบอำนาจกับหนังสือสัญญาขายที่ดินตามฟ้องเป็นโมฆะให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายและยกให้ดังกล่าวทั้งขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องด้านทิศใต้เนื้อที่6ไร่เป็นของโจทก์จึงเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยมิชอบโจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาในการให้เจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิดังกล่าวเว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา24การที่โจทก์อุทธรณ์และจำเลยฎีกาต่อมาจึงเป็นการอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา227ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ200บาทตามตาราง1ข้อ2ข.ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3292/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดกและการตัดสิทธิทายาทโดยธรรมเนื่องจากพินัยกรรม
ตามพินัยกรรมเอกสารหมาย ค.9 และ ค.11 ทั้งสองฉบับกำหนดให้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก และให้ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้รับมรดกทั้งหมดของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียว แม้จะฟังว่าพินัยกรรม เอกสารหมาย ค.11 ไม่มีผลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1686 เพราะมีข้อกำหนดในการก่อตั้งทรัสต์ขึ้นก็ตาม พินัยกรรมฉบับนี้ย่อมไม่มีผลเป็นการเพิกถอนพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ค.9 ซึ่งไม่มีข้อกำหนดในการก่อตั้งทรัสต์ขึ้น ทั้งไม่ปรากฎว่าคู่ความได้โต้แย้งว่าเป็นพินัยกรรมที่ไม่สมบูรณ์ใช้บังคับไม่ได้แต่อย่างใด พินัยกรรมตามเอกสารหมาย ค.9 จึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อพินัยกรรมดังกล่าวกำหนดให้ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้รับมรดกทั้งหมดของผู้ตายแต่เพียงผู้เดียวเช่นนี้ย่อมต้องถือว่าผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายผู้ที่มิได้รับประโยชน์จากพินัยกรรมเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1608 วรรคท้าย ผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นทายาทที่ไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกของผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจที่จะร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้ร้องทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง จึงมีเหตุสมควรที่จะถอนผู้ร้องทั้งสองออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่ง-และพาณิชย์ มาตรา 1727 วรรคหนึ่ง
ปัญหาว่ามีเหตุที่จะตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่ ปรากฎว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ดำเนินการโอนเงินของผู้ตายซึ่งมีอยู่ในธนาคารในประเทศไทยไปเข้ากองมรดกของผู้ตายหมดแล้ว และหุ้นของผู้ตายในบริษัทในประเทศไทย บริษัทดังกล่าวก็ถูกพิพากษาให้ล้มละลายแล้ว จึงไม่มีทรัพย์สินของผู้ตายในประเทศไทยให้จัดการมรดกได้ ผู้คัดค้านที่ 1 เชื่อว่าไม่มีความจำเป็นแล้วที่จะมีผู้จัดการมรดกของผู้ตายในประเทศไทย ดังนี้ เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 ยืนยันชัดแจ้งว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้จัดการมรดกของผู้ตายในประเทศไทย ย่อมไม่มีเหตุที่จะตั้งให้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ปัญหาว่ามีเหตุที่จะตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่ ปรากฎว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ดำเนินการโอนเงินของผู้ตายซึ่งมีอยู่ในธนาคารในประเทศไทยไปเข้ากองมรดกของผู้ตายหมดแล้ว และหุ้นของผู้ตายในบริษัทในประเทศไทย บริษัทดังกล่าวก็ถูกพิพากษาให้ล้มละลายแล้ว จึงไม่มีทรัพย์สินของผู้ตายในประเทศไทยให้จัดการมรดกได้ ผู้คัดค้านที่ 1 เชื่อว่าไม่มีความจำเป็นแล้วที่จะมีผู้จัดการมรดกของผู้ตายในประเทศไทย ดังนี้ เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 ยืนยันชัดแจ้งว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีผู้จัดการมรดกของผู้ตายในประเทศไทย ย่อมไม่มีเหตุที่จะตั้งให้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย