พบผลลัพธ์ทั้งหมด 404 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คชำระหนี้ตามสัญญาที่ไม่สามารถบังคับได้ ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทสองฉบับชำระค่าจ้างถมดินทำถนนให้ส. โดยสัญญาว่าจ้างถมที่ทำถนนระบุว่าถ้า ส. ผู้รับจ้างถมที่ดินไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดจำเลยผู้ว่าจ้างสามารถอายัดเช็คทั้งสองฉบับได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นดังนี้เมื่อ ส.มิได้ถมที่ดินทำถนนให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาจำเลยย่อมมี สิทธิยึดหน่วงการชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับได้ตามกฎหมายรวมทั้งมี สิทธิอายัดการใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับต่อธนาคารตามสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและการที่ ส.ถมดินทำถนนไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญา ส. ย่อมไม่อาจบังคับให้จำเลยชำระหนี้เต็มตามสัญญาได้แม้จำเลยจะสั่งจ่ายเช็คทั้งสองฉบับแต่ก็เป็นการชำระหนี้ตามสัญญาใน มูลหนี้อันเดียวกันไม่สามารถแบ่งแยกกันได้การออกเช็คของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายระคนอยู่ในจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายจำเลยจึง ไม่มี ความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงการชำระเงินเช็คเมื่อผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา และผลต่อความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทสองฉบับชำระค่าจ้างถมดินทำถนนให้ส. โดยสัญญาว่าจ้างระบุว่าถ้าส. ผู้รับจ้างถมที่ดินไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดจำเลยผู้ว่าจ้างสามารถอายัดเช็คทั้งสองฉบับได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นดังนี้เมื่อส. มิได้ถมดินให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาจำเลยย่อมมีสิทธิยึดหน่วงการชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับได้ตามกฎหมายรวมทั้งมีสิทธิอายัดการใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับต่อธนาคารตามสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและการที่ส. ถมดินทำถนนไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาส. ย่อมไม่อาจบังคับให้จำเลยชำระหนี้เต็มตามสัญญาได้แม้จำเลยจะสั่งจ่ายเช็คสองฉบับแต่เป็นการชำระหนี้ตามสัญญาในมูลหนี้อันเดียวกันไม่สามารถแบ่งแยกกันได้การออกเช็คของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4ระคนอยู่ในจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายจำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 706/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ค่าเสียหาย: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาเมื่อโจทก์ขอท้ายอุทธรณ์ให้ปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากลูกจ้างจำเลยกระทำละเมิดในทางการที่จ้างเป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์การที่โจทก์กล่าวไว้ท้ายอุทธรณ์ว่าขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองปฎิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 706/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการพิพากษาชดใช้ค่าเสียหายเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยต้องรับผิด
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากลูกจ้างจำเลยกระทำละเมิดในทางการที่จ้างเป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ การที่โจทก์กล่าวไว้ท้ายอุทธรณ์ว่า ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกานี้ชี้ว่าศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องทุนทรัพย์ในคำสั่งระหว่างพิจารณา และการสั่งจำหน่ายคดีไม่ถูกต้องหากโจทก์ยังอุทธรณ์ฎีกาอยู่
ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลภายใน15วันโจทก์อุทธรณ์ว่าไม่ต้องเสียศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์เพราะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาและโจทก์มิได้ชำระค่าขึ้นศาลภายในกำหนดศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์อุทธรณ์คำสั่งที่ให้จำหน่ายคดีและขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์นั้นไม่ถูกต้องเพราะศาลอุทธรณ์ยังมิได้สั่งรับอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์จึงยังไม่มีอำนาจวินิจฉัยการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรกแต่การที่โจทก์ไม่ยอมเสียค่าขึ้นศาลเพราะเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์จึงไม่อาจถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลกำหนดอันจะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 556/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้แม้คดีอาญาจบแล้ว
โจทก์ที่1ในคดีนี้ไม่ใช่ผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่1ในคดีนี้ฐานขับรถโดยประมาทแม้โจทก์ที่1จะเป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งเกิดเหตุชนกันผลของคำพิพากษาในคดีอาญาก็ไม่ผูกพันโจทก์ที่1ศาลอุทธรณ์ภาค1จึงชอบที่จะฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในคดีใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อรถยนต์โดยสุจริตจากพ่อค้า ผู้ขายมีกรรมสิทธิ์ สิทธิในการครอบครองเป็นของผู้ซื้อ
ในคดีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทโดยสุจริตจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นโจทก์มีสิทธิครอบครองรถยนต์พิพาทในฐานะผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำเลยไม่ได้ชดใช้ราคารถยนต์ไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนจากโจทก์พิพากษาให้จำเลยเพิกถอนการแจ้งอายัดรถยนต์พิพาทและยกฟ้องแย้งของจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกาเพียงขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ขอให้บังคับคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยดังนี้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งถึงที่สุดและผูกพันจำเลยจึงต้องฟังว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองรถยนต์พิพาทจำเลยไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนโดยไม่ชดใช้ราคารถยนต์ให้โจทก์ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยเพิกถอนการอายัดรถยนต์พิพาทจึงรับฟังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อรถยนต์โดยสุจริตจากพ่อค้า ย่อมมีสิทธิครอบครอง แม้ผู้ขายเดิมอ้างกรรมสิทธิ์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ซื้อรถยนต์โดยสุจริตจากส. ซึ่งเป็นพ่อค้าขายของชนิดนั้นโจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองรถยนต์ในฐานะผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำเลยไม่ได้ชดใช้ราคารถยนต์ที่ซื้อมาจึงไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนจากโจทก์พิพากษาให้จำเลยเพิกถอนการแจ้งอายัดรถยนต์ต่อสถานีตำรวจและยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้บังคับโจทก์ส่งมอบรถยนต์แก่จำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกาเพียงขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ขอให้บังคับคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยด้วยคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งซึ่งถึงที่สุดแล้วย่อมผูกพันจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145จึงต้องฟังตามคำพิพากษาในส่วนฟ้องแย้งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองรถยนต์จำเลยไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนโดยไม่ได้ชดใช้ราคารถยนต์ที่โจทก์ซื้อมาที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยเพิกถอนการอายัดรถยนต์จึงรับฟังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7226/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอใบอนุญาตมัคคุเทศก์และการมีอำนาจฟ้องร้อง เมื่อยังมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
โจทก์ยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ก่อนที่จะมีกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการขอรับใบอนุญาต และการออกใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กรุงเทพมหานครจึงไม่อาจออกใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ให้แก่โจทก์ได้
เมื่อโจทก์ยังมิได้ดำเนินการยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2536) โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ออกใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมิใช่ผลจากการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่เร่งรัดออกกฎกระทวงแต่เป็นผลจากการที่โจทก์ยังมิได้ดำเนินการยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ตามกฎกระทรวง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดในค่าเสียหายดังกล่าวได้
เมื่อโจทก์ยังมิได้ดำเนินการยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2536) โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ออกใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมิใช่ผลจากการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่เร่งรัดออกกฎกระทวงแต่เป็นผลจากการที่โจทก์ยังมิได้ดำเนินการยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ตามกฎกระทรวง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดในค่าเสียหายดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6992/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาบัญชีเดินสะพัด-การหักหนี้-ฟ้องเคลือบคลุม-ค่าทนายความ-ทุนทรัพย์
โจทก์จำเลยตกลงกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินล่วงหน้าและออกเงินทดรองค่าใช้จ่ายแทนจำเลย เมื่อจำเลยนำปลาไปขายให้โจทก์ก็จะมีการคิดบัญชีหักหนี้จากราคา ปลาเงินส่วนที่เหลือเป็นของจำเลย ข้อตกลงเช่นนี้ต้องด้วยลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 856 ซึ่งไม่บังคับว่าจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือกรณีมิใช่จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์โดยตรง แม้โจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือก็ฟ้องจำเลยได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ตกลงกับจำเลย ยอมให้จำเลยเบิกเงินล่วงหน้า และยอมออกเงินทดรองค่าใช้จ่ายอื่น ๆแทนจำเลย เมื่อจำเลยหาปลาได้แล้วจะต้องนำมาขายให้โจทก์ แล้วคิดหักบัญชีกัน แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ามีการกู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์เมื่อวันที่เท่าใดบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าใดและเป็นค่าอะไรบ้าง รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏอยู่ในสำเนาเอกสารท้ายฟ้องแม้จำเลยจะอ้างว่าสำเนาภาพถ่ายไม่ชัดเจนอ่านไม่ออก ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 ถ้าคู่ความไม่ยอมชำระค่าอ้างเอกสาร ศาลมีอำนาจไม่รับฟังพยานหลักฐานนั้นได้ ซึ่งคำว่าไม่ยอม มีความหมายว่าจงใจฝ่าฝืนไม่ชำระ แต่ในกรณีหลงลืมซึ่งไม่จงใจฝ่าฝืน ศาลย่อมมีอำนาจรับชำระค่าอ้างเอกสารหลังจากมีคำพิพากษาแล้วได้ เพราะชำระเพียงครั้งเดียวรับฟังได้ถึงสามชั้นศาล ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้รับฟังหากเพิ่งชำระในชั้นศาลสูง ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ คิดตามทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์มากเกินกว่าร้อยละ 3 จึงไม่ชอบ