พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,208 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางประกันภัยจากการประมาทเลินเล่อของผู้ขับรถเช่าซื้อ และข้อยกเว้นในกรมธรรม์ประกันภัย
โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุมีสิทธิที่จะเอาประกันภัยความเสียหายอันอาจเกิดแก่รถยนต์โดยสารที่เช่าซื้อมาเมื่อป. ลูกจ้างของโจทก์เป็นผู้ขับรถยนต์เพื่อหาประโยชน์ร่วมกันระหว่างโจทก์กับข. และป. ขับรถที่จำเลยรับประกันไว้ไปก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอกโจทก์และข. จึงต้องร่วมกันรับผิดในความประมาทเลินเล่อที่ป. ได้ก่อขึ้นและต้องถือว่าวินาศภัยที่เกิดขึ้นนี้โจทก์ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบด้วยซึ่งจำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในนามของโจทก์ผู้เอาประกันภัยเมื่อโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้บุคคลภายนอกไปจึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยที่ว่าผู้เอาประกันภัยจะต้องไม่ตกลงยินยอมเสนอหรือให้สัญญาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลใดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยเว้นแต่จำเลยมิได้จัดการต่อการเรียกร้องนั้นเป็นข้อตกลงเพื่อป้องกันมิให้ผู้เอาประกันภัยไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายถูกเท่านั้นแต่กรณีนี้เป็นฝ่ายต้องรับผิดจำเลยจะยกเอาเงื่อนไขดังกล่าวมาปัดความรับผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้เช่าซื้อรถมีสิทธิทำประกันภัย และผู้รับประกันภัยต้องรับผิดในค่าเสียหายที่เกิดจากความประมาทของผู้ขับ
โจทก์ผู้เช่าซื้อรถโดยสารเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถที่เช่าซื้อมีสิทธิเอาประกันภัยความเสียหายอันอาจเกิดแก่รถนั้นได้เมื่อโจทก์นำรถนั้นไปร่วมรับส่งคนโดยสารกับบริษัท ขนส่ง จำกัดเพื่อหาประโยชน์ร่วมกันแล้วไปก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอกโดยประมาทเลินเล่อโจทก์และบริษัท ขนส่ง จำกัดจึงต้องร่วมกันรับผิดโดยจำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในนามของโจทก์เมื่อโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายไปแล้วจึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยรับผิดใช้เงินดังกล่าวแก่โจทก์ส่วนเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยที่ว่าผู้เอาประกันภัยจะต้องไม่ตกลงยินยอมเสนอหรือให้สัญญาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลใดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยเป็นข้อตกลงเพื่อป้องกันมิให้ผู้เอาประกันภัยไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายถูกเท่านั้นจำเลยจะยกเอาเงื่อนไขนี้มาปัดความรับผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 780/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประกันภัยรถยนต์: ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่รับผิดชอบความเสียหายจากอุบัติเหตุที่ลูกจ้างก่อขึ้น และจำเลยต้องรับผิดตามสัญญาประกัน
โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันเกิดเหตุ มีสิทธิที่จะเอาประกันภัยความเสียหายอันอาจเกิดแก่รถยนต์โดยสารที่เช่าซื้อมา เมื่อ ป.ลูกจ้างของโจทก์เป็นผู้ขับรถยนต์เพื่อหาประโยชน์ร่วมกันระหว่างโจทก์กับ ข.และ ป.ขับรถที่จำเลยรับประกันไว้ไปก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอก โจทก์และ ข.จึงต้องร่วมกันรับผิดในความประมาทเลินเล่อที่ ป.ได้ก่อขึ้น และต้องถือว่าวินาศภัยที่เกิดขึ้นนี้โจทก์ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบด้วย ซึ่งจำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในนามของโจทก์ผู้เอาประกันภัย เมื่อโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้บุคคลภายนอกไป จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์
เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยที่ว่า ผู้เอาประกันภัยจะต้องไม่ตกลงยินยอมเสนอหรือให้สัญญาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลใดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย เว้นแต่จำเลยมิได้จัดการต่อการเรียกร้องนั้น เป็นข้อตกลงเพื่อป้องกันมิให้ผู้เอาประกันภัยไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายถูกเท่านั้น แต่กรณีนี้เป็นฝ่ายต้องรับผิด จำเลยจะยกเอาเงื่อนไขดังกล่าวมาปัดความรับผิดไม่ได้
เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยที่ว่า ผู้เอาประกันภัยจะต้องไม่ตกลงยินยอมเสนอหรือให้สัญญาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลใดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย เว้นแต่จำเลยมิได้จัดการต่อการเรียกร้องนั้น เป็นข้อตกลงเพื่อป้องกันมิให้ผู้เอาประกันภัยไปตกลงชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายถูกเท่านั้น แต่กรณีนี้เป็นฝ่ายต้องรับผิด จำเลยจะยกเอาเงื่อนไขดังกล่าวมาปัดความรับผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิหักเงินจากบัญชีหลังคำสั่งอายัด - เจ้าหนี้บุริมสิทธิ vs. สิทธิจากความยินยอม - การบังคับคดี
ผู้ร้องเพิ่งจะมีสิทธิใช้สิทธิหักเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยมาชำระหนี้ของจำเลยที่มีแก่ผู้ร้องหลังจากวันที่ผู้ร้องได้รับทราบคำสั่งอายัดจากศาลและสิทธิของผู้ร้องดังกล่าวเป็นสิทธิอันเกิดจากความยินยอมของจำเลยที่ให้ไว้ในการฝากเงินตามปกติผู้ร้องหาใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิไม่จึงไม่มีสิทธิจะหักเงินจากบัญชีของจำเลยภายหลังได้รับแจ้งคำสั่งอายัดจากศาลแล้วเพราะเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามในคำสั่งอายัดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา311วรรคสาม สำหรับฎีกาของผู้ร้องที่ว่าศาลควรจะมีคำสั่งไต่สวนคำร้องของผู้ร้องก่อนมีคำสั่งนั้นเมื่อผู้ร้องมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์มาก่อนจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่าศาลล่างทั้งสองสั่งให้ผู้ร้องส่งเงินตามที่อายัดจำนวน4,471,719.19บาทเป็นคำสั่งไม่ชอบเพราะผู้ร้องใช้สิทธิหักเงินไว้เพียง940,126.67บาทส่วนเงินของจำเลยที่มีอยู่ในบัญชีอีก2,155,330.76บาทผู้ร้องจัดส่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแล้วนั้นแม้ผู้ร้องพึ่งจะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนผู้ร้องจึงมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แก้ไขบทลงโทษผิดพลาดจากศาลล่าง กรณีเมาแล้วขับและขัดขวางเจ้าพนักงาน แต่จำกัดการเพิ่มโทษ
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาปรับบทกฎหมายไม่ถูกต้องและลงโทษต่ำกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาจึงไม่อาจกำหนดโทษจำเลยให้สูงขึ้นอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 647/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดภารจำยอมจากอายุความ 10 ปี ต้องบรรยายฟ้องชัดเจนตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ระยะเวลา10ปีที่เจ้าของสามยทรัพย์มิได้ใช้ทางภารจำยอมจนทำให้ทางภารจำยอมส่วนพิพาทสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1399เป็นสาระสำคัญของสภาพแห่งข้อหาที่โจทก์ต้องบรรยายไว้ในฟ้องโดยแจ้งชัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองเมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า พ. และจำเลยมิได้ใช้ทางภารจำยอมส่วนพิพาท10ปีจนทำให้ทางภารจำยอมส่วนพิพาทสิ้นไปแม้ได้นำสืบในชั้นพิจารณาก็เป็นเรื่องนอกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 647/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนภารจำยอมต้องบรรยายระยะเวลาขาดใช้ในฟ้อง หากไม่บรรยายถือเป็นเรื่องนอกฟ้อง
ระยะเวลา 10 ปี แห่งการที่เจ้าของสามยทรัพย์มิได้ใช้ทางภารจำยอมจนทำให้ทางภารจำยอมสิ้นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 เป็นข้อสาระสำคัญของสภาพแห่งข้อหา ที่โจทก์จะต้องบรรยายไว้ในฟ้อง ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองบัญญัติบังคับไว้ มิใช่ข้อเท็จจริงที่เป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้องที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมิได้ใช้ทางภารจำยอม10 ปี จนทำให้ทางภารจำยอมสิ้นไป แม้โจทก์จะนำสืบถึงเรื่องดังกล่าวในชั้นพิจารณา ข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่านั้นก็เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นวินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินหวงห้ามเป็นโมฆะ การคืนเงินมัดจำ
ที่พิพาทเป็นที่ดินหวงห้ามเพื่อประโยชน์ในราชการทหารที่ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าหักร้าง จัดทำ หรือปลูกสร้างด้วยประการใด ๆ ในที่ดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่ เช่นนี้ ที่พิพาทก็เป็นทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งกฎหมายเฉพาะหรือพระราช-กฤษฎีกาตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1305 การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทกันตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำ สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทย่อมมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายจึงตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายตาม ป.พ.พ.มาตรา 113 ซึ่งบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น โจทก์และจำเลยจะอ้างว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญาและบังคับเอาประโยชน์แห่งสัญญาจากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้
โจทก์ไม่รู้มาก่อนทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตหวงห้ามเพื่อประโยชน์ในทางราชการทหาร การวางมัดจำจำนวน300,000 บาท ของโจทก์ต่อจำเลยจึงมิใช่เป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ ตามความที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 407 เมื่อการวางมัดจำของโจทก์ต่อจำเลยมิได้เป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ การรับเงินมัดจำจำนวน 300,000 บาทของจำเลยก็เป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406
โจทก์ไม่รู้มาก่อนทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตหวงห้ามเพื่อประโยชน์ในทางราชการทหาร การวางมัดจำจำนวน300,000 บาท ของโจทก์ต่อจำเลยจึงมิใช่เป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ ตามความที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 407 เมื่อการวางมัดจำของโจทก์ต่อจำเลยมิได้เป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ การรับเงินมัดจำจำนวน 300,000 บาทของจำเลยก็เป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดินแปลงที่ดินหวงห้ามเพื่อประโยชน์ราชการทหารเป็นโมฆะ จำเลยต้องคืนเงินมัดจำ
ที่พิพาทเป็นที่ดินหวงห้ามเพื่อประโยชน์ในราชการทหารที่ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าหักร้างจัดทำหรือปลูกสร้างด้ายประการใดๆในที่ดินเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่เช่นนี้ที่พิพาทก็เป็นทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะโอนแก่กันมิได้เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1305การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทกันตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทย่อมมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายจึงตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา113ซึ่งบังคับใช้อยู่ในขณะนั้นโจทก์และจำเลยจะอ้างว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญาและบังคับเอาประโยชน์แห่งสัญญาจากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ โจทก์ไม่รู้มาก่อนทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตหวงห้ามเพื่อประโยชน์ในทางราชการทหารการวางมัดจำจำนวน300,000บาทของโจทก์ต่อจำเลยจึงมิใช่เป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจตามความที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา407เมื่อการวางมัดจำของโจทก์ต่อจำเลยมิได้เป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจการรับเงินมัดจำจำนวน300,000บาทของจำเลยก็เป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบจำเลยจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา406
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 567/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานพิรุธ ขาดอาวุธปืนและพยานยืนยันการยิง ศาลยกฟ้องคดีพยายามฆ่า
ขณะที่จำเลยจ้องอาวุธปืนสั้นไปที่หน้าอกของผู้เสียหายผู้เสียหายมิได้แสดงกิริยาหลบหลีกหรือป้องกันตัวให้พ้นจากการถูกจำเลยยิงเพียงแต่ก้าวถอยหลังเล็กน้อยถือได้ว่าเป็นการผิดวิสัยที่ผู้จะถูกคนร้ายยิงจะไม่หลบหลีกหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันมิให้ตนเองถูกยิงขณะนั้น ท. พี่ชายของผู้เสียหายก็ยืนอยู่ใกล้กับจำเลยแต่ไม่ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันมิให้จำเลยยิงผู้เสียหายเพียงเข้าไปสอบถามว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ถือได้ว่าเป็นการผิดวิสัยเช่นกันพฤติการณ์ของผู้เสียหายและ ท. ทำให้เป็นที่น่าระแวงสงสัยว่าจำเลยจะได้ใช้อาวุธปืนสั้นจ้องยิงผู้เสียหายจริงหรือไม่และเมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจ อ. ว่าเมื่อพยานไปถึงที่เกิดเหตุได้พูดคุยกับจำเลยและเจ้าของร้านค้าที่เกิดเหตุประมาณ10นาทีแต่ไม่มีผู้ใดแจ้งต่อพยานว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายอีกทั้งเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่บ้านจำเลยในคืนนั้นห่างจากเวลาเกิดเหตุไม่นานแต่ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบอาวุธปืนของกลางจึงเป็นพิรุธอีกประการหนึ่งพยานหลักฐานของโจทก์มีพิรุธหลายประการเป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยรับฟังลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้