พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,208 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อยกเว้นภาษีป้ายตาม พ.ร.บ.ภาษีป้าย พ.ศ.2510: ป้ายต้องแสดงภายในสถานที่ประกอบการค้าหรืออาคารเท่านั้น
ตามพ.ร.บ.ภาษีป้าย พ.ศ.2510 มาตรา 8 (5) ป้ายที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายจะต้องเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐาน เว้นแต่จะเป็นป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์จะก็ไม่ได้รับยกเว้น เพราะข้อความตอนท้ายของมาตรา 8 (5) ไม่รวมถึงป้ายดังกล่าว ดังนั้น หากไม่ใช่ป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐานแล้ว แม้จะเป็นป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องเสียภาษีป้ายมาตรา 8 (5) ดังกล่าว
ป้ายพิพาทสามารถมองเห็นได้จากภายนอกสถานที่ประกอบการค้าหรือสถานที่ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้และเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายนอกอาคาร ป้ายดังกล่าวแม้จะติดตั้งไว้ภายในรั้วของโจทก์ บนหลังคาอาคาร ผนังภายนอกอาคารหรือบริเวณของสถานที่ประกอบการค้าหรือสถานที่ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้ ก็หาเป็นป้ายที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายตามมาตรา 8 (5)แห่ง พ.ร.บ.ภาษีป้าย พ.ศ.2510 เพราะบทมาตราดังกล่าวมุ่งประสงค์ยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายเฉพาะป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารอันเป็นที่รโหฐานเท่านั้น กล่าวคือ ต้องเป็นป้ายที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกของสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือจากภายนอกอาคาร
ส่วนปัญหาที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่วินิจฉัยว่า ป้ายพิพาทไม่เป็นป้ายตาม พ.ร.บ.ทะเบียนพาณิชย์พ.ศ.2499 มาตรา 15 นั้น เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าป้ายพิพาทไม่ใช่ป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐานแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าป้ายพิพาทเป็นป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์อีก เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
ป้ายพิพาทสามารถมองเห็นได้จากภายนอกสถานที่ประกอบการค้าหรือสถานที่ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้และเป็นป้ายที่แสดงไว้ภายนอกอาคาร ป้ายดังกล่าวแม้จะติดตั้งไว้ภายในรั้วของโจทก์ บนหลังคาอาคาร ผนังภายนอกอาคารหรือบริเวณของสถานที่ประกอบการค้าหรือสถานที่ประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้ ก็หาเป็นป้ายที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายตามมาตรา 8 (5)แห่ง พ.ร.บ.ภาษีป้าย พ.ศ.2510 เพราะบทมาตราดังกล่าวมุ่งประสงค์ยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้ายเฉพาะป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารอันเป็นที่รโหฐานเท่านั้น กล่าวคือ ต้องเป็นป้ายที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกของสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือจากภายนอกอาคาร
ส่วนปัญหาที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่วินิจฉัยว่า ป้ายพิพาทไม่เป็นป้ายตาม พ.ร.บ.ทะเบียนพาณิชย์พ.ศ.2499 มาตรา 15 นั้น เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าป้ายพิพาทไม่ใช่ป้ายที่แสดงไว้ภายในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่นเพื่อหารายได้หรือภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐานแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าป้ายพิพาทเป็นป้ายตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์อีก เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการคืนอากรขาเข้า และการประเมินราคาตามดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ศุลกากร
กำหนดเวลา2ปีตามมาตรา10วรรค5แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ.2469นั้นใช้กับกรณีการเรียกร้องขอคืนเงินอากรที่ได้เสียไปแล้วก่อนนำของออกจากอารักขาของศุลกากรตามมาตรา40ไม่รวมถึงกรณีการเรียกร้องขอคืนเงินอากรที่ถูกประเมินเรียกเก็บเพิ่มเติมภายหลังจากนำของออกจากอารักขาของศุลกากรแล้วตามมาตรา112,112ทวิทั้งนี้จะเห็นได้จากบทบัญญัติในมาตรา10วรรค5ดังกล่าวที่ให้นับกำหนดเวลา2ปีตั้งแต่วันนำของเข้าและมิให้รับพิจารณาการเรียกร้องขอคืนเงินอากรหลังจากที่ได้เสียอากรและของนั้นๆได้ส่งมอบแล้วเว้นแต่ในกรณีที่ผู้นำเข้าได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบว่าจะยื่นคำเรียกร้องดังกล่าวซึ่งหากเป็นกรณีตามมาตรา112,112ทวิแล้วจะไม่อาจใช้ระยะเวลา2ปีนับจากวันที่นำของเข้าและไม่อาจแจ้งความต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบของว่าจะยื่นคำเรียกร้องดังกล่าวได้การที่โจทก์เรียกอากรขาเข้าตามที่ถูกประเมินให้ชำระเพิ่มเติมในกรณีนี้มิใช่กรณีใช้สิทธิในการเรียกร้องขอคืนเงินอากรขาเข้าเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงก่อนนำของออกจากอารักขาของศุลกากรสิทธิของโจทก์ที่จะเรียกเงินอากรขาเข้านี้คืนจึงมิได้เป็นอันสิ้นไปเมื่อครบกำหนด2ปีนับจากวันที่นำของเข้าตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ ศุลกากรพ.ศ.2469มาตรา10วรรค5แต่กรณีนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยประเมินและแจ้งให้โจทก์ชำระค่าอากรขาเข้าเพิ่มเติมภายหลังจากโจทก์นำของออกจากอารักขาของศุลกากรแล้วซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ10ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9106/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีเนื่องจากเข้าใจผิดว่าโจทก์ขาดนัด ศาลมีสิทธิเพิกถอนคำสั่งได้หากโจทก์มาศาลแล้วแต่เข้าห้องพิจารณาผิด
โจทก์ยื่นคำร้องอ้างว่า โจทก์มาศาลแล้วแต่เข้าห้องพิจารณาผิด แม้คำขอจะให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่แต่ตามคำร้องก็เป็นเรื่องที่โจทก์ตั้งรูปคดีอ้างว่า ศาลสั่งจำหน่ายคดีไปโดยผิดหลง เป็นการร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27ซึ่งโจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนได้ โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในเวลาก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี แต่เนื่องจากโจทก์และทนายโจทก์เข้าห้องพิจารณาผิด ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์มาศาลในวันสืบพยานแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8237/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ค่าเช่าช่วงโดยวางทรัพย์เมื่อสิทธิผู้ให้เช่ายังไม่ชัดเจน จำเลยไม่ต้องรับผิด
แม้ในขณะแรกที่จำเลยเข้าครอบครองพื้นที่พิพาท จำเลยได้ทำสัญญาเช่าช่วงกับโจทก์ มีความผูกพันกับโจทก์ตามสัญญาเช่าช่วง จำเลยย่อมมีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องชำระเงินค่าเช่าให้โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิรับชำระหนี้เงินค่าเช่า ซึ่งจำเลยก็ได้ชำระเงินค่าเช่าให้โจทก์ตลอดมาจนถึงเดือนมีนาคม2534 ก็ตาม แต่ต่อมาจำเลยได้รับแจ้งจากบริษัท อ. เจ้าของพื้นที่พิพาทแจ้งให้ทราบว่า ส.ผู้เช่าพื้นที่พิพาทและโจทก์ทั้งสองหมดสิทธิในสัญญาเช่าที่ทำกับบริษัท อ.ดังกล่าวแล้ว ให้จำเลยไปทำสัญญาเช่ากับบริษัท อ. และชำระค่าเช่าแก่บริษัท อ.โดยตรง มิฉะนั้นก็ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากพื้นที่พิพาท อีกทั้งภายหลังปรากฏว่าบริษัท อ.ได้ฟ้องขับไล่ ส. กับได้เรียกให้ พ.ผู้เช่าช่วงพื้นที่พิพาทจาก ส.เข้าไปเป็นจำเลยร่วมด้วย จำเลยจึงได้ไปทำสัญญาเช่าพื้นที่พิพาทจากบริษัท อ.มีผลการเช่าตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2534 ดังนี้จะเห็นได้ว่าบุคคลผู้ตกอยู่ในภาวะเช่นจำเลยซึ่งมีเจตนาจะเช่าพื้นที่พิพาทไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิในการให้เช่าพื้นที่พิพาทได้แน่นอนว่าระหว่างโจทก์และบริษัท อ.ซึ่งต่างก็อ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิให้เช่าพื้นที่พิพาทได้ทั้งสองฝ่ายว่าใครจะเป็นผู้มีสิทธิอันแท้จริงกันแน่ จำเลยจึงได้นำเงินค่าเช่าตั้งแต่เดือนเมษายน 2534 ไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ตลอดมา จำนวนเงินค่าเช่าแต่ละเดือนที่จำเลยวางไว้เป็นเงินเดือนละ 14,400 บาท เท่ากับค่าเช่าที่ตกลงไว้กับโจทก์ซึ่งมากกว่าที่จำเลยตกลงไว้กับบริษัท อ.เจ้าของพื้นที่พิพาท การวางเงินค่าเช่าของจำเลยดังกล่าวก็โดยเจตนาจะชำระค่าเช่าเพื่อประโยชน์แก่โจทก์หรือบริษัท อ.เจ้าของพื้นที่พิพาท เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิอันแท้จริงซึ่งจำเลยไม่อาจจะหยั่งรู้ได้แน่นอนนั่นเอง มิได้วางเพียงเพื่อประโยชน์แก่บริษัท อ.เจ้าของพื้นที่พิพาทเท่านั้น เพราะมิฉะนั้นจำเลยคงไม่วางเงินค่าเช่าเป็นเงินเดือนละ14,400 บาท ตามที่ตกลงกับโจทก์ และการที่จำเลยวางเงื่อนไขในการรับเงินว่าต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำสั่งศาลถึงที่สุดมาแสดง ซึ่งมีความหมายว่าศาลมีคำสั่งฟังได้ว่าเจ้าหนี้ผู้นั้นเป็นผู้มีสิทธิในการให้เช่านั่นเอง จำเลยจำเป็นต้องวางเงื่อนไขดังกล่าวก็เนื่องมาจากความไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิอันแน่นอนระหว่างโจทก์กับบริษัทเจ้าของพื้นที่ ทั้งก็เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งสองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งมีสิทธิอันแท้จริง หากไม่วางเงื่อนไขดังกล่าวโจทก์หรือบริษัท อ.เจ้าของพื้นที่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจขอรับเงินที่จำเลยวางไว้โดยยังมิได้พิสูจน์สิทธิอันแท้จริงไปก็ได้ ดังนั้นการวางเงินค่าเช่าของจำเลยดังกล่าวมีเหตุผลโดยชอบ และมิใช่ความผิดของจำเลย จำเลยมีสิทธิที่จะวางทรัพย์ชำระเงินค่าเช่าได้ อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้ค่าเช่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 331 จำเลยจึงหาเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าแก่โจทก์ไม่ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าช่วงและฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8237/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางทรัพย์ชำระหนี้ค่าเช่าเมื่อมีข้อพิพาทเรื่องสิทธิของเจ้าหนี้ ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้ได้
แม้ในขณะแรกที่จำเลยเข้าครอบครองพื้นที่พิพาทจำเลยได้ทำสัญญาเช่าช่วงกับโจทก์มีความผูกพันกับโจทก์ตามสัญญาเช่าช่วงจำเลยย่อมมีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องชำระเงินค่าเช่าให้โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิรับชำระหนี้เงินค่าเช่าซึ่งจำเลยก็ได้ชำระเงินค่าเช่าให้โจทก์ตลอดมาจนถึงเดือนมีนาคม2534ก็ตามแต่ต่อมาจำเลยได้รับแจ้งจากบริษัทอ.เจ้าของพื้นที่พิพาทแจ้งให้ทราบว่าส.ผู้เช่าพื้นที่พิพาทและโจทก์ทั้งสองหมดสิทธิในสัญญาเช่าที่ทำกับบริษัทอ.ดังกล่าวแล้วให้จำเลยไปทำสัญญาเช่ากับบริษัทอ. และชำระค่าเช่าแก่บริษัทอ.โดยตรงมิฉะนั้นก็ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากพื้นที่พิพาทอีกทั้งภายหลังปรากฏว่าบริษัทอ.ได้ฟ้องขับไล่ส.กับได้เรียกให้พ.ผู้เช่าช่วงพื้นที่พิพาทจากส.เข้าไปเป็นจำเลยร่วมด้วยจำเลยจึงได้ไปทำสัญญาเช่าพื้นที่พิพาทจากบริษัทอ.มีผลการเช่าตั้งแต่วันที่1เมษายน2534ดังนี้จะเห็นได้ว่าบุคคลผู้ตกอยู่ในภาวะเช่นจำเลยซึ่งมีเจตนาจะเช่าพื้นที่พิพาทไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิในการให้เช่าพื้นที่พิพาทได้แน่นอนว่าระหว่างโจทก์และบริษัทอ. ซึ่งต่างก็อ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิให้เช่าพื้นที่พิพาทได้ทั้งสองฝ่ายว่าใครจะเป็นผู้มีสิทธิอันแท้จริงกันแน่จำเลยจึงได้นำเงินค่าเช่าตั้งแต่เดือนเมษายน2534ไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ตลอดมาจำนวนเงินค่าเช่าแต่ละเดือนที่จำเลยวางไว้เป็นเงินเดือนละ14,400บาทเท่ากับค่าเช่าที่ตกลงไว้กับโจทก์ซึ่งมากกว่าที่จำเลยตกลงไว้กับบริษัทอ.เจ้าของพื้นที่พิพาทการวางเงินค่าเช่าของจำเลยดังกล่าวก็โดยเจตนาจะชำระค่าเช่าเพื่อประโยชน์แก่โจทก์หรือบริษัทอ.เจ้าของพื้นที่พิพาทเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิอันแท้จริงซึ่งจำเลยไม่อาจจะหยั่งรู้ได้แน่นอนนั่นเองมิได้วางเพียงเพื่อประโยชน์แก่บริษัทอ. เจ้าของพื้นที่พิพาทเท่านั้นเพราะมิฉะนั้นจำเลยคงไม่วางเงินค่าเช่าเป็นรายเดือนละ14,400บาทตามที่ตกลงกับโจทก์และการที่จำเลยวางเงื่อนไขในการรับเงินว่าต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำสั่งศาลถึงที่สุดมาแสดงซึ่งมีความหมายว่าศาลมีคำสั่งฟังได้ว่าเจ้าหนี้ผู้นั้นเป็นผู้มีสิทธิในการให้เช่านั่นเองจำเลยจำเป็นต้องวางเงื่อนไขดังกล่าวก็เนื่องมาจากความไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิอันแน่นอนระหว่างโจทก์กับบริษัทเจ้าของพื้นที่ทั้งก็เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งสองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งมีสิทธิอันแท้จริงหากไม่วางเงื่อนไขดังกล่าวโจทก์หรือบริษัทอ.เจ้าของพื้นที่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจขอรับเงินที่จำเลยวางไว้โดยยังมิได้พิสูจน์สิทธิอันแท้จริงไปก็ได้ดังนั้นการวางเงินค่าเช่าของจำเลยดังกล่าวมีเหตุผลโดยชอบและมิใช่ความผิดของจำเลยจำเลยมีสิทธิที่จะวางทรัพย์ชำระเงินค่าเช่าได้อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้ค่าเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา331จำเลยจึงหาเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าแก่โจทก์ไม่โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าช่วงและฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8177/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่องสวนติดที่ดินพิพาทเป็นร่องสวนเดิม ไม่ใช่ลำรางสาธารณะ จำเลยคัดค้านรังวัดโดยสุจริต ไม่ต้องรับผิด
ร่องน้ำระหว่างที่ดินของจำเลยและโจทก์ที่ 1 เป็นร่องสวนเดิมที่ขุดขึ้นเพื่อนำน้ำจากคลองสาธารณะเข้ามาใช้ทำสวน ซึ่งมิใช่ลำรางหรือลำกระโดงสาธารณะ แต่สภาพที่ดินพิพาทเป็นร่องสวนที่มีมานานหลายสิบปีน่าจะเป็นร่องน้ำสาธารณะประโยชน์ได้ การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียง และจากการที่จำเลยได้ตรวจสอบหลักเขตที่ดินเขตติดต่อกันแต่หลักเขตต่างกัน ทั้งเจ้าพนักงานที่ดินยังแจ้งว่าหลักทั้งสองห่างกัน 3.16 เมตร ย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นบุคคลธรรมเข้าใจว่าระหว่างที่ดินทั้งสองแปลงมีช่องว่างอยู่ และได้ตัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ดังนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ตน มิได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์อันเนื่องมาจากการคัดค้านดังกล่าว แม้โจทก์ที่ 2 จะเป็นเพียงผู้ซื้อที่ดินจากโจทก์ที่ 1ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ทำการรังวัด แต่โจทก์ที่ 2ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดในฐานที่จำเลยทั้งสี่ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหาย มิได้ฟ้องคดีโดยอาศัยการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน แม้โจทก์ที่ 2มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ก่อละเมิดให้ตนต้องได้รับความเสียหายได้ หาจำเป็นจะต้อง มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสี่มาก่อนไม่ โจทก์ที่ 2จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์มีคำขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 หากจำเลยไม่จัดการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยแต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 มิได้ดำเนินคดีต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาที่เจ้าพนักงานที่ดินกำหนด เจ้าพนักงานที่ดินจึงยกเลิกการรังวัดที่ดินไป กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องมีการดำเนินการต่อไปภายหลังมีคำพิพากษาของศาล ดังนี้คำคัดค้านนั้นย่อมสิ้นสุดไปด้วยศาลฎีกาจึงไม่อาจจะมีคำพิพากษาตามที่โจทก์ที่ 1 ขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8177/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยสุจริตคัดค้านการรังวัด และอำนาจฟ้องของผู้ที่จะซื้อที่ดิน
ร่องน้ำระหว่างที่ดินของจำเลยและโจทก์ที่ 1 เป็นร่องสวนเดิมที่ขุดขึ้นเพื่อนำน้ำจากคลองสาธารณะเข้ามาใช้ทำสวน ซึ่งมิใช่ลำรางหรือลำกระโดงสาธารณะ แต่สภาพที่ดินพิพาทเป็นร่องสวนที่มีมานานหลายสิบปีน่าจะเป็นร่องน้ำสาธารณ-ประโยชน์ได้ การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียง และจากการที่จำเลยได้ตรวจสอบหลักเขตที่ดินเขตติดต่อกันแต่หลักเขตต่างกัน ทั้งเจ้าพนักงานที่ดินยังแจ้งว่าหลักทั้งสองห่างกัน 3.16 เมตร ย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเข้าใจว่าระหว่างที่ดินทั้งสองแปลงมีช่องว่างอยู่ และได้คัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ดังนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ตน มิได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์อันเนื่องมาจากการคัดค้านดังกล่าว
แม้โจทก์ที่ 2 จะเป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินจากโจทก์ที่ 1 ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ทำการรังวัด แต่โจทก์ที่ 2 ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดในฐานที่จำเลยทั้งสี่ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหาย มิได้ฟ้องคดีโดยอาศัยการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน แม้โจทก์ที่ 2 มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ก่อละเมิดให้ตนต้องได้รับความเสียหายได้ หาจำเป็นจะต้องมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสี่มาก่อนไม่ โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์มีคำขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 หากจำเลยไม่จัดการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 มิได้ดำเนินคดีต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาที่เจ้าพนักงานที่ดินกำหนด เจ้าพนักงานที่ดินจึงยกเลิกการรังวัดที่ดินไป กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องมีการดำเนินการต่อไปภายหลังมีคำพิพากษาของศาล ดังนี้คำคัดค้านนั้นย่อมสิ้นสุดไปด้วย ศาลฎีกาจึงไม่อาจจะมีคำพิพากษาตามที่โจทก์ที่ 1 ขอได้
แม้โจทก์ที่ 2 จะเป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินจากโจทก์ที่ 1 ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ทำการรังวัด แต่โจทก์ที่ 2 ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดในฐานที่จำเลยทั้งสี่ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหาย มิได้ฟ้องคดีโดยอาศัยการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน แม้โจทก์ที่ 2 มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ก่อละเมิดให้ตนต้องได้รับความเสียหายได้ หาจำเป็นจะต้องมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสี่มาก่อนไม่ โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์มีคำขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 หากจำเลยไม่จัดการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 มิได้ดำเนินคดีต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาที่เจ้าพนักงานที่ดินกำหนด เจ้าพนักงานที่ดินจึงยกเลิกการรังวัดที่ดินไป กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องมีการดำเนินการต่อไปภายหลังมีคำพิพากษาของศาล ดังนี้คำคัดค้านนั้นย่อมสิ้นสุดไปด้วย ศาลฎีกาจึงไม่อาจจะมีคำพิพากษาตามที่โจทก์ที่ 1 ขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7583/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าอยู่อาศัยจริงมีผลต่อการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน
โจทก์และครอบครัวมีภูมิลำเนาอยู่อาศัยอยู่ห่างห้องพิพาทไปประมาณ 200 เมตร การที่โจทก์ยอมให้ ม.บุตรสาวโจทก์พร้อมทั้งสามีและบุตรของม.ซึ่งไม่มีที่อยู่ที่อื่นเข้าไปอยู่ในห้องพิพาทและแจ้งชื่อทั้งหมดเข้าอยู่ในทะเบียนบ้านห้องพิพาท ฟังได้ว่าเป็นการเข้าอยู่อาศัยในห้องพิพาท หาใช่เพียงเป็นผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาห้องพิพาทให้โจทก์ไม่ จึงไม่ได้รับงดเว้นการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 10 ที่แก้ไขโดย พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2475 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7583/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าอยู่อาศัยในห้องพิพาทโดยบุตรและครอบครัว ทำให้ไม่ได้รับงดเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดิน
โจทก์และครอบครัวมีภูมิลำเนาอยู่อาศัยอยู่ห่างห้องพิพาทไปประมาณ200เมตรการที่โจทก์ยอมให้ม.บุตรสาวโจทก์พร้อมทั้งสามีและบุตรของม.ซึ่งไม่มีที่อยู่ที่อื่นเข้าไปอยู่ในห้องพิพาทและแจ้งชื่อทั้งหมดเข้าอยู่ในทะเบียนบ้านห้องพิพาทฟังได้ว่าเป็นการเข้าอยู่อาศัยในห้องพิพาทหาใช่เพียงเป็นผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาห้องพิพาทให้โจทก์ไม่จึงไม่ได้รับงดเว้นการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ.2475มาตรา10ที่แก้ไขโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2475มาตรา3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7423/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันทำร้ายจนถึงแก่ความตาย แม้ไม่มีเจตนาฆ่า ก็มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีเรื่องโต้เถียงกับจำเลยที่6ต่อมาจำเลยที่6กับพวกรวมทั้งจำเลยที่5วิ่งไล่ทำร้ายผู้เสียหายและเข้าทำร้ายผู้ตายโดยเข้าใจว่าเป็นพวกผู้เสียหายการเข้ากลุ้มรุมทำร้ายเช่นนี้มิใช่ต่างคนมาพบและทำร้ายผู้ตายโดยลำพังแต่มีเจตนาวิ่งไล่ตามทำร้ายผู้เสียหายมาด้วยกันตั้งแต่แรกแล้วและเมื่อมีเจ้าพนักงานตำรวจมาพบก็วิ่งหนีไปด้วยกันย่อมฟังว่าจำเลยทุกคนมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตายเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากการร่วมกันทำร้ายนั้นแม้การกระทำของจำเลยที่5จะไม่อาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ก็ตามจำเลยที่5ก็ย่อมต้องได้รับผลจากการตายของผู้ตายนั้นด้วยจำเลยที่5มิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายแต่การร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยที่5จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา