คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สละ เทศรำพรรณ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,208 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับผิดในหนี้ภาษีค้างของเจ้าของคนใหม่, อายุความ, และขอบเขตคำพิพากษา
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ.2475มาตรา55บัญญัติให้เจ้าของคนเก่าและคนใหม่เป็นลูกหนี้ค่าภาษีค้างร่วมกันเมื่อหนี้ค่าภาษีค้างเป็นหนี้ที่มีอยู่ก่อนจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของคนใหม่รับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นจากว.เจ้าของคนเก่าสิทธิเรียกร้องในหนี้ค่าภาษีค้างจึงอาจบังคับได้ตั้งแต่ว. เจ้าของคนเก่าแล้วการนับกำหนดอายุความจึงต้องเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องแก่ว.เจ้าของคนเก่าได้คือนับแต่วันพ้นกำหนด90วันที่ว. ได้รับแจ้งรายการประเมินตามมาตรา38เดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาษีโรงเรือน: การรับผิดของเจ้าของคนใหม่, อายุความ, และขอบเขตคำฟ้อง
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 55บัญญัติให้เจ้าของคนเก่าและคนใหม่เป็นลูกหนี้ค่าภาษีค้างร่วมกัน เมื่อหนี้ค่าภาษีค้างเป็นหนี้ที่มีอยู่ก่อนจำเลย ซึ่งเป็นเจ้าของคนใหม่รับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นจากว. เจ้าของคนเก่า สิทธิเรียกร้องในหนี้ค่าภาษีค้างจึงอาจบังคับได้ตั้งแต่ ว. เจ้าของคนเก่าแล้ว การนับกำหนดอายุความจึงต้องเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องแก่ว. เจ้าของคนเก่าได้ คือ นับแต่วันพ้นกำหนด90 วัน ที่ว. ได้รับแจ้งรายการประเมินตามมาตรา 38 เดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีภาษีโรงเรือน, การบังคับสิทธิเรียกร้อง, และขอบเขตคำฟ้อง
เมื่อไม่มีบทบัญญัติใน พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรและไม่มีข้อกำหนดคดีภาษีอากรเกี่ยวกับเรื่องคำฟ้องไว้ จึงต้องนำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17
ฟ้องของโจทก์ได้แสดงรายละเอียดจำนวนหนี้ค่าภาษีโรงเรือนที่ว.เจ้าของโรงเรือนคนเก่าค้างชำระในปีใด จำนวนเท่าใด จำเลยทั้งหกต้องรับผิดร่วมด้วยเพราะเหตุใด กับขอให้บังคับจำเลยทั้งหกชำระเงินจำนวนเท่าใดไว้ครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว แม้โจทก์จะเคยมีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งหกโดยกล่าวอ้างว่า ว.ค้างชำระค่าภาษีโรงเรือนปี พ.ศ.2521 ถึง พ.ศ.2524 เป็นเงินรวม 61,545 บาท ซึ่งไม่ตรงกับจำนวนตามคำฟ้องก็เป็นข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องมิใช่ข้ออ้างแห่งข้อหาหรือสภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องของโจทก์ ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้คำฟ้องที่สมบูรณ์ของโจทก์กลับกลายเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมไปได้
มาตรา 45 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475ที่บัญญัติให้เจ้าของคนเก่าและคนใหม่เป็นลูกหนี้ค่าภาษีค้างร่วมกันนั้น เป็นบทบัญญัติพิเศษที่ให้รัฐสามารถติดตามเอาชำระค่าภาษีค้างให้ได้ไม่ว่ากรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินนั้นจะได้โอนไปเป็นของผู้ใด และโดยที่หนี้ค่าภาษีค้างเป็นหนี้ที่มีอยู่ก่อนเจ้าของคนใหม่รับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น สิทธิเรียกร้องในหนี้ค่าภาษีค้างจึงอาจบังคับได้ตั้งแต่เจ้าของคนเก่าแล้ว ดังนั้น การนับกำหนดอายุความจึงต้องเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องแก่เจ้าของคนเก่าได้ คือนับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน ที่ได้รับแจ้งรายการประเมิน ตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 38เดิม ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2535 ว.เจ้าของคนเก่าได้รับแจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนปี พ.ศ.2515 ถึงพ.ศ.2519 ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2520 ส่วนภาษีโรงเรือนปี พ.ศ.2520ได้รับแจ้งรายการประเมินเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2520 และภาษีโรงเรือนปี พ.ศ.2521 ถึง พ.ศ.2524 ได้รับแจ้งรายการประเมินเมื่อวันที่ 30มิถุนายน 2524 นับตั้งแต่วันครบกำหนด 90 วัน ที่ได้รับแจ้งรายการประเมินถึงวันฟ้องพ้นกำหนด 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 167 (เดิม) คดีโจทก์เกี่ยวกับหนี้ค่าภาษีค้างประจำปี พ.ศ.2515 ถึง พ.ศ.2524 จึงขาดอายุความส่วนภาษีโรงเรือนปี พ.ศ.2525 ว.ได้รับแจ้งรายการประเมินเมื่อวันที่ 21ตุลาคม 2525 และภาษีโรงเรือนปี พ.ศ.2526 ได้รับแจ้งรายการประเมินเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2526 นับตั้งแต่วันครบกำหนด 90 วัน ที่ได้รับแจ้งรายการประเมินถึงวันฟ้องยังไม่พ้นกำหนดเวลา 10 ปี คดีโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่ขาดอายุความ
คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้อง ว.หรือทายาทและมีคำขอให้ ว.หรือทายาทร่วมรับผิดกับจำเลยทั้งหกแต่อย่างใด ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้ ว.และทายาทร่วมชำระเงินแก่โจทก์ด้วย จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าคำฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 แม้ปัญหานี้จำเลยทั้งหกไม่มีสิทธิอุทธรณ์เพราะไม่กระทบถึงสิทธิของจำเลยทั้งหกแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลบหนี: การกระทำความผิดร่วม และการใช้ยานพาหนะเพื่อความผิด
จำเลยลงจากรถจักรยานยนต์ของพวกจำเลยซึ่งจอดที่ถนนห่างผู้เสียหายประมาณ15เมตรและไปชิงเอาทรัพย์ของผู้เสียหายได้แล้วก็กลับมานั่งซ้อนท้ายรถที่จอดอยู่หลบหนีไปถือว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อพาทรัพย์นั้นไปและหลบหนีเพื่อให้พ้นการจับกุมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา340ตรี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1748/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยของแข็ง: การทุ่มแผ่นซีเมนต์จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
จำเลยถีบผู้ตายตกลงไปในแม่น้ำแล้วใช้แผ่นซีเมนต์ ยาว 1 ฟุตกว้าง 10 นิ้ว หนา 2 นิ้ว ทุ่มลงไปบนศีรษะผู้ตายในระยะใกล้ในขณะที่ผู้ตายกำลังจะปีนขึ้นมาบนฝั่ง แผ่นซีเมนต์ถูกศีรษะผู้ตายอย่างแรง เป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บถึงหมดสติจมน้ำตาย แม้บาดแผลภายนอกจะเป็นแผลถลอกที่ศีรษะและแพทย์ให้ความเห็นว่า ผู้ตายจมน้ำตายก็ตาม แต่การตายเกิดจากการทำร้ายของจำเลยโดยตรงแผ่นซีเมนต์มีขนาดใหญ่และแข็งมาก จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การทุ่มแผ่นซีเมนต์ดังกล่าวลงไปบนศีรษะจะทำให้ผู้ตายได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บและตายได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือรักษาทันท่วงที การกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย ไม่ใช่มีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1748/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยวัตถุอันตราย ศาลฎีกายืนโทษฐานฆ่าผู้อื่น
จำเลยถีบผู้ตายตกลงไปในแม่น้ำตรงที่ลึกประมาณครึ่งตัวผู้ตายแล้วใช้แผ่นซีเมนต์ขนาดกว้าง10นิ้วยาว1ฟุตหนา2นิ้วทุ่มใส่ถูกศีรษะผู้ตายในระยะใกล้ขณะที่ผู้ตายกำลังจะปีนขึ้นมาบนฝั่งเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บถึงหมดสติจมน้ำตายแม้บาดแผลภายนอกจะเป็นแผลถลอกที่ศีรษะและแพทย์ให้ความเห็นว่าผู้ตายจมน้ำตายแต่การตายเกิดจากการทำร้ายของจำเลยโดยตรงจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการทุ่มแผ่นซีเมนต์ดังกล่าวจะทำให้ผู้ตายได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บและตายได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือรักษาให้ทันท่วงทีถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายไม่ใช่เพียงเจตนาทำร้ายร่างกาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผิดสัญญาซื้อขายเนื่องจากไม่ชำระมัดจำครบถ้วน ผู้ขายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำได้
ในหนังสือสัญญาจะซื้อขายกำหนดว่าโจทก์วางมัดจำไว้เป็นเงิน 500,000 บาท แต่ในวันทำสัญญานั้นมีการวางมัดจำเพียง 150,000 บาท แต่ในวันทำสัญญานั้นมีการวางมัดจำเพียง 150,000 บาท ไม่ครบตามสัญญาเนื่องจากเช็คที่โจทก์เป็นค่ามัดจำอีก 350,000 บาท ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแม้การวางมัดจำแต่เพียงอย่างเดียวจะสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้แล้วก็ตาม แต่เมื่อคู่สัญญามีเอกสารที่เป็นหนังสือจึงต้องผูกพันกันตามข้อความที่ทำเป็นหนังสือนั้น เมื่อโจทก์จำเลยตกลงกันว่าต้องวางมัดจำเป็นเงิน 500,000 บาทก็จะต้องผูกพันกันตามนั้น เมื่อโจทก์วางมัดจำเพียง150,000 บาท ไม่ครบตามสัญญาจึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ก่อนที่โจทก์และฝ่ายจำเลยจะทำสัญญาจะซื้อขายโจทก์และฝ่ายจำเลยได้เคยทำสัญญาซื้อขายกันมา 2 ฉบับแล้วการที่ได้ทำสัญญาเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินแปลงเดียวกันเป็นฉบับใหม่ขึ้นอีกก็สืบเนื่องมาจากโจทก์ผู้จะซื้อไม่ชำระเงินตามที่กำหนดไว้ในสัญญาฉบับก่อน ฉะนั้นการทำสัญญาจะซื้อขายโดยฝ่ายโจทก์สั่งจ่ายเช็คเป็นการชำระเงินมัดจำตามสัญญาส่วนหนึ่งนั้นย่อมเห็นได้ในเบื้องต้นแล้วว่าคู่สัญญามีเจตนาจะให้การชำระเงินมัดจำตามจำนวนเงินและตามวันที่ลงในเช็คเป็นสาระสำคัญของสัญญา ฉบับใหม่นั้น ทั้งยังมีบันทึกไว้ที่ด้านบนด้วยข้อความว่า ต่อเนื่องจากสัญญาจะซื้อขายฉบับเดิมแสดงให้เห็นวัตถุประสงค์ของคู่สัญญาว่าเจตนาจะให้ถือเอาเรื่องการใช้เงินมัดจำตามเช็คดังกล่าวเป็นสาระสำคัญของสัญญา และแม้ว่าสัญญาจะซื้อขายฉบับเดิมจะไม่ปรากฎข้อความว่าให้ผู้ขายบอกเลิกสัญญาได้ก็ตาม แต่โดย สภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาได้แสดงไว้ดังกล่าวย่อมเห็นถึงวัตถุประสงค์ของคู่สัญญาว่าหากโจทก์ผู้จะซื้อผิดสัญญาไม่ชำระเงินมัดจำหรือผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ฝ่ายจำเลยผู้จะขายย่อมมีสิทธิบอกเลิกและริบมัดจำได้ทันที เมื่อปรากฎว่าเช็คซึ่งโจทก์สั่งจ่ายชำระเงินมัดจำส่วนหนึ่งใช้เงินไม่ได้ ซึ่งถือว่าโจทก์ผิดสัญญา ฝ่ายจำเลยย่อมบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำเสียได้ตามข้อสัญญาดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 โดยจำเลยไม่ต้องบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 387 แต่อย่างใด และเมื่อการเลิกสัญญาเป็นเพราะความผิดของฝ่ายโจทก์เอง โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากฝ่ายจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1508/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมและใช้ตั๋วเครื่องบินปลอม, เจตนาฉ้อโกงสายการบิน, และการพิพากษาลงโทษตามบทบัญญัติกฎหมายอาญา
ตั๋วเครื่องบินที่มีมูลค่าหรือราคาใช้ตามที่ปรากฏในตั๋ว เป็นตั๋วที่ผู้มีชื่อในตั๋วมีสิทธิที่จะใช้โดยสารเครื่องบินของสายการบินที่ปรากฏในตั๋ว จึงเป็นเอกสารสิทธิเพราะเป็นหลักฐานแห่งการก่อซึ่งสิทธิตาม ป.อ.มาตรา 1(9) จำเลยปลอมตั๋วเครื่องบินแล้ว ได้มอบให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋วหรือมอบให้แก่ผู้อื่นซึ่งจะนำไปมอบให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋ว จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้มีชื่อในตั๋วต้องนำตั๋วไปใช้ในการเดินทางและเมื่อตั๋วเครื่องบินปลอมได้ถูกนำไปใช้ในการเดินทางแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการ ใช้ตั๋วเครื่องบินปลอมและการที่จำเลยปลอมตั๋วเครื่องบินด้วยมีเจตนาที่จะให้ผู้มีชื่อในตั๋วได้เดินทางโดยจำเลยหรือผู้มีชื่อในตั๋ว ไม่ต้องจ่ายเงินค่าตั๋วแสดงว่าจำเลยมีเจตนาโดยทุจริตหลอกลวงเจ้าของสายการบินว่า จำเลยหรือผู้มีชื่อในตั๋วได้ชำระค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว อันเป็นความเท็จทำให้ผู้มีชื่อในตั๋วมีสิทธิเดินทางได้โดยไม่ต้องชำระเงิน ถือว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงเจ้าของสายการบิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1508/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานใช้ตั๋วเครื่องบินปลอมและฉ้อโกงสายการบิน
ตั๋วเครื่องบินที่มีมูลค่าหรือราคาใช้ตามที่ปรากฏในตั๋วเป็นตั๋วที่ผู้มีชื่อในตั๋วมีสิทธิที่จะใช้โดยสารเครื่องบินของสายการบินที่ปรากฏในตั๋ว ตั๋วเครื่องบินจึงเป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อซึ่งสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (9) เป็นเอกสารสิทธิ
จำเลยปลอมตั๋วเครื่องบินจำนวน 30 ฉบับ ตั๋วเครื่องบินปลอมทั้ง 30 ฉบับนี้ ผู้มีชื่อในตั๋วได้นำไปใช้แล้ว แสดงว่าจำเลยได้มอบตั๋วเครื่องบินทั้งหมดให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋ว หรือมอบให้แก่ผู้อื่นซึ่งจะนำไปมอบให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋ว การมอบตั๋วเครื่องบินปลอมให้แก่บุคคลดังกล่าว จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้มีชื่อในตั๋วต้องนำตั๋วไปใช้ในการเดินทาง และปรากฏว่าตั๋วเครื่องบินปลอมทั้งหมดได้ถูกนำไปใช้ในการเดินทางแล้ว ดังนั้น จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการใช้ตั๋วเครื่องบินปลอม
การที่จำเลยปลอมตั๋วเครื่องบิน จำเลยมีเจตนาที่จะให้ผู้มีชื่อในตั๋วได้เดินทางโดยสายการบินที่ปรากฏในตั๋วหรือสายการบินอื่น โดยจำเลยหรือผู้ที่มีชื่อในตั๋วไม่ต้องจ่ายเงินแก่สายการบินนั้น เป็นเจตนาทุจริตหลอกลวงว่าตั๋วนั้นชำระราคาแล้ว อันเป็นความเท็จ ซึ่งความจริงมิได้ชำระ ทำให้สายการบินเสียหายจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1495/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายรถยนต์, หน้าที่ในการจดทะเบียน, สภาพแห่งหนี้, การบังคับคดี, และข้อยกเว้นในการบังคับคดี
โจทก์รับมอบรถยนต์คันที่สองไว้จากจำเลยโดยไม่ได้สงวนสิทธิจะเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยอีกตามสัญญาแม้จำเลยจะส่งมอบรถยนต์ล่าช้าโจทก์ก็เรียกเบี้ยปรับเพราะเหตุนี้อีกไม่ได้เมื่อยังไม่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนสภาพรถยนต์ให้เป็นรถยนต์โดยสารส่วนบุคคลและการจดทะเบียนต้องรอกำหนดที่กรมการขนส่งทางบกนัดให้นำรถยนต์ไปตรวจสภาพความเสียหายจากการที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถยนต์จึงไม่ได้อยู่ที่การส่งมอบรถยนต์ล่าช้า โจทก์ซื้อรถยนต์ทั้งสองคันเพื่อนำไปใช้ในกิจการของวิทยาลัย ก.จึงได้มีข้อตกลงในสัญญาให้จำเลยมีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนสภาพรถยนต์ให้เป็นรถยนต์โดยสารส่วนบุคคลและจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์จำเลยจึงมีหน้าที่กระทำการที่จำเป็นทุกอย่างเพื่อให้ได้มีการจดทะเบียนตามสัญญาโจทก์ย่อมขอบังคับให้จำเลยดำเนินการดังกล่าวได้แต่เมื่อโจทก์ต้องจัดส่งเอกสารที่จำเป็นในการจดทะเบียนให้จำเลยครบถ้วนด้วยศาลย่อมพิพากษาโดยมีเงื่อนไขให้โจทก์ส่งเอกสารให้จำเลยครบถ้วนสมบูรณ์ได้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยส่งมอบรถยนต์คันที่สองโดยรถยนต์ชำรุดบกพร่องช้ากว่ากำหนดในสัญญาไม่จดทะเบียนเปลี่ยนสภาพรถยนต์ให้เป็นรถยนต์โดยสารส่วนบุคคลและไม่จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นของโจทก์โจทก์ไม่ได้ฟ้องว่าจำเลยไม่ส่งมอบรถยนต์คันที่สองณภูมิลำเนาของโจทก์เรื่องสถานที่ส่งมอบรถยนต์คันที่สองจึงไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยไม่มีชื่อเป็นเจ้าของรถยนต์คันที่สองหากเจ้าของแท้จริงของรถยนต์คันที่สองไม่ยินยอมจดทะเบียนเปลี่ยนสภาพรถยนต์ให้เป็นรถยนต์โดยสารส่วนบุคคลและจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์แล้วการจะบังคับให้จำเลยโอนรถยนต์คันที่สองย่อมทำไม่ได้สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้จำเลยโอนรถยนต์คันที่สองให้โจทก์การบังคับคดีทำได้เพียงให้โจทก์คืนรถยนต์คันที่สองให้จำเลยและให้จำเลยคืนราคารถยนต์ให้โจทก์
of 221