พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,208 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างขณะปฏิบัติงาน แม้ก่อนเวลาทำงานปกติ
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 บ.ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ขับรถยนต์และดูแลรถคันเกิดเหตุยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปทำงานโดยลำพังแต่ผู้เดียวแล้วจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ไปชนโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์บาดเจ็บ ได้รับอันตรายถึงสาหัส จำเลยที่ 1ขับรถยนต์ไปทำงานให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้าง แม้เหตุจะเกิดก่อนเวลาถึงเวลาทำงานตามปกติของร้านจำเลยที่ 2 ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้าง กรณีลูกจ้างขับรถชนบุคคลภายนอกขณะทำหน้าที่
บ. ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่2มีหน้าที่ขับรถยนต์ยินยอมให้จำเลยที่1ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่2ด้วยขับรถยนต์ของจำเลยที่2ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตนไปทำงานโดยลำพังแล้วเกิดเหตุชนโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์บาดเจ็บแม้เหตุจะเกิดก่อนเวลาทำงานปกติของจำเลยที่2ก็ถือได้ว่าจำเลยที่1ได้ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่2จำเลยที่2จึงต้องร่วมกับจำเลยที่1รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารสำคัญ แม้ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน และไม่ได้ส่งสำเนาให้คู่ความอีกฝ่าย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้โจทก์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานเอกสารแต่เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่แสดงว่า ท. เป็นเจ้าของผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันเกิดเหตุทั้งเป็นเอกสารสำคัญศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)และแม้โจทก์จะไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้แก่จำเลยที่2และที่3ตามกฎหมายแต่เมื่อพยานเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อใช้ประกอบดุลพินิจที่จะฟังว่าโจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วเข้า รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยแล้วเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารสำคัญ แม้ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน ป.วิ.พ. เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แม้โจทก์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยานเอกสาร แต่เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่แสดงว่า ท.เป็นเจ้าของผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันเกิดเหตุ ทั้งเป็นเอกสารสำคัญ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) และแม้โจทก์จะไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามกฎหมาย แต่เมื่อพยานเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อใช้ประกอบดุลพินิจที่จะฟังว่าโจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยแล้วเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิด: การพิจารณาว่าข้อความที่บรรยายในคำฟ้องเป็นสภาพแห่งข้อหาหรือหลักแห่งข้อหา เพื่อกำหนดอายุความที่ใช้
ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายเป็นสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำความเท็จไปฟ้องโจทก์หลายศาลทำให้โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าจ้างทนายความในการต่อสู้คดีส่วนที่โจทก์บรรยายว่าจำเลยได้นำข้อความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาในข้อหาว่าร่วมกันหมิ่นประมาทซึ่งฟ้องในคดีอาญาล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้นนั้นข้อความดังกล่าวเป็นเพียงข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพื่อให้ฟ้องสมบูรณ์ขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองเท่านั้นหาได้เป็นสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ไม่ดังนั้นเมื่อคำฟ้องโจทก์เป็นการเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดโดยมิได้กล่าวในคำฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดในทางอาญาต่อโจทก์จะใช้อายุความทางอาญาที่ยาวกว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448วรรคสองไม่ได้ต้องใช้อายุความในมูลละเมิดตามมาตรา448วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิด: การพิจารณาจากวันที่รู้ถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำละเมิด, การนับอายุความจากมูลเหตุละเมิดไม่ใช่ความผิดทางอาญา
แม้โจทก์อุทธรณ์ คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้ยกปัญหาอายุความขึ้นเป็นประเด็นแห่งอุทธรณ์เนื่องจากศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยถึงปัญหาอายุความไว้แต่ คำแก้อุทธรณ์มีประเด็นที่จำเลยทั้งสองได้กล่าวแก้ว่าฟ้องโจทก์ ขาดอายุความด้วยเมื่อชั้น ชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้ กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าคดีโจทก์ ขาดอายุความหรือไม่ไว้การที่ศาลอุทธรณ์ยกปัญหา อายุความขึ้นวินิจฉัยจึงชอบแล้ว โจทก์ฟ้อง เรียกค่าเสียหายฐานละเมิดโดยมิได้กล่าวในคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดในทางอาญาต่อโจทก์คดีจึง นับอายุความทางอาญาที่ยาวกว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448วรรคสองไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: การพิจารณาจากสภาพแห่งข้อหาและบทบัญญัติที่ใช้บังคับ
การที่โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น แม้โจทก์มิได้ยกปัญหาอายุความขึ้นเป็นประเด็นแห่งอุทธรณ์เนื่องจากศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยถึงปัญหาอายุความไว้ แต่คำแก้อุทธรณ์มีประเด็นที่จำเลยทั้งสองได้กล่าวแก้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดข้อโต้เถียงของคู่ความไว้เป็นประเด็นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ยกปัญหาอายุความขึ้นวินิจฉัยจึงกระทำได้โดยชอบ
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดซึ่งเป็นสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ส่วนที่โจทก์บรรยายว่าจำเลยทั้งสองได้นำข้อความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาในข้อหาว่าร่วมกันหมิ่นประมาทซึ่งฟ้องในคดีอาญาล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้นนั้น ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพื่อให้ฟ้องสมบูรณ์ขึ้นตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172วรรคสอง เท่านั้น หาได้เป็นสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ไม่ ดังนั้น เมื่อคำฟ้องโจทก์เป็นการเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด โดยมิได้กล่าวในคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดในทางอาญาต่อโจทก์ คดีจึงนับอายุความทางอาญาที่ยาวกว่าตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคสอง ไม่ได้
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดซึ่งเป็นสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ส่วนที่โจทก์บรรยายว่าจำเลยทั้งสองได้นำข้อความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาในข้อหาว่าร่วมกันหมิ่นประมาทซึ่งฟ้องในคดีอาญาล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้นนั้น ข้อความดังกล่าวเป็นเพียงข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพื่อให้ฟ้องสมบูรณ์ขึ้นตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172วรรคสอง เท่านั้น หาได้เป็นสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ไม่ ดังนั้น เมื่อคำฟ้องโจทก์เป็นการเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด โดยมิได้กล่าวในคำฟ้องว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดในทางอาญาต่อโจทก์ คดีจึงนับอายุความทางอาญาที่ยาวกว่าตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 วรรคสอง ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าฉาง + ฝากทรัพย์: อายุความ 10 ปี ดอกเบี้ยเป็นค่าเสียหาย
โจทก์ทำสัญญาเช่าฉางกับจำเลยเพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บข้าวเปลือกของโจทก์และมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะเก็บรักษาข้าวเปลือกไว้มิให้สูญหายหากสูญหายจำเลยจะรับผิดชอบชดใช้ราคาข้าวเปลือกให้มีลักษณะเป็นสัญญาฝากทรัพย์รวมอยู่ในตัวด้วยเมื่อทรัพย์ที่รับฝากสูญหายไปจำเลยต้องใช้ราคาแทนการฟ้องเรียกให้ใช้ราคาทรัพย์กรณีนี้ไม่ใช่เรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา671และไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความ10ปีตามมาตรา164เดิมหนี้เงินนี้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในระหว่างเวลาที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระได้ตามมาตรา224วรรคแรกไม่ใช่ดอกเบี้ยค้างส่งตามมาตรา166เดิมแต่เป็นดอกเบี้ยที่กำหนดแทนค่าเสียหายและไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ10ปีตามมาตรา164เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้เช่านาตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ: ไม่ผูกพันสัญญาซื้อขายระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ
มาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 บัญญัติเพื่อให้ความคุ้มครองแก่เกษตรกรผู้เช่านาโดยเฉพาะเท่านั้น ผู้เช่านาฝ่ายเดียวจึงมีสิทธิที่จะยกบทบัญญัตินั้นขึ้นอ้างอิงได้ หาได้เป็นบทบัญญัติที่ให้สิทธิผู้จะขายนายกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกที่จะซื้อนาไม่ เมื่อคดีนี้มิได้มีปัญหาเกี่ยวกับผู้เช่านาจะซื้อที่นาบังคับให้ผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524 สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างโจทก์ผู้จะขายและจำเลยผู้จะซื้อที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.ดังกล่าว ไม่ตกเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดิน - สัญญาไม่เป็นโมฆะแม้ผู้ขายไม่แจ้งความจำนงขายแก่ผู้เช่า - การโอนให้ผู้อื่นเพื่อฉ้อฉลเจ้าหนี้
บทบัญญัติพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา53ที่บัญญัติว่าผู้ให้เช่านาจะขายนาได้ต่อเมื่อได้แจ้งให้ผู้เช่านาทราบโดยทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนาพร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธานคชก.ตำบลเพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบภายในสิบห้าวันและถ้าผู้เช่านาแสดงความจำนงจะซื้อนาเป็นหนังสือยื่นต่อประธานคชก.ตำบลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งผู้ให้เช่านาต้องขายนาแปลงดังกล่าวให้ผู้เช่านาตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ได้แจ้งไว้นั้นเป็นบทบัญญัติที่มีความประสงค์เพื่อให้ความคุ้มครองแก่เกษตรกรผู้เช่านาเท่านั้นผู้เช่านาฝ่ายเดียวมีสิทธิที่จะยกบทบัญญัติดังกล่าวนั้นขึ้นอ้างอิงได้จำเลยที่1ผู้จะขายนายกขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้จะซื้อซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ โจทก์เป็นบุคคลภายนอกฟ้องบังคับจำเลยที่1โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายเมื่อกรณีมิได้มีปัญหาเกี่ยวกับผู้เช่านาจะซื้อนาที่บังคับผู้ให้เช่าจะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายดังกล่าวสัญญานั้นไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่1นำหนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่2ที่มอบให้จำเลยที่1เป็นผู้มีอำนาจให้ถ้อยคำมาแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าจำเลยที่2ไม่ขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้เจ้าพนักงานที่ดินจึงบันทึกถ้อยคำดังกล่าวไว้และจดทะเบียนลงในโฉนดที่ดินให้จำเลยที่1เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้กรณีจึงถือได้ว่าตามคำขอจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินเฉพาะส่วนและบันทึกถ้อยคำดังกล่าวนั้นจำเลยที่2ได้สละมรดกรายนี้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1612