คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สละ เทศรำพรรณ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,208 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง แม้มีการโต้แย้งดุลพินิจ
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าจำเลยที่1กระทำละเมิดยึดรถยนต์ที่โจทก์ที่1ซื้อไว้จากตัวแทนของจำเลยที่1ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายโดยโจทก์ที่1ไม่ได้รับเงินค่ารถยนต์ส่วนที่เหลือจากการขายให้โจทก์ที่2และโจทก์ที่2ต้องเสียเงินที่ชำระให้จำเลยที่1แล้วกับไม่ได้รับประโยชน์จากการใช้รถยนต์แต่ละวันจำเลยที่1ให้การต่อสู้ว่ารถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่1ไม่ได้ให้ผู้ใดเป็นตัวแทนไปขายให้โจทก์ที่1เป็นการโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคารถยนต์เมื่อโจทก์แต่ละคนต่างเรียกร้องให้จำเลยที่1รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่ตนได้รับเท่านั้นจึงเป็นหนี้ที่แบ่งแยกกันชำระได้เมื่อคดีสำหรับโจทก์แต่ละคนเป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 129/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณบำเหน็จลูกจ้างประจำ: เริ่มนับจากวันจ้างหรือวันบรรจุ การวินิจฉัยของคณะกรรมการต้องถูกต้องตามหลักเกณฑ์
แม้ในข้อบังคับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ฉบับที่11ข้อ4.1กำหนดให้นับเวลาทำงานตั้งแต่วันที่ระบุในคำสั่งให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับการบรรจุในอัตราประจำแต่ในข้อ1ก็ให้ความหมายของคำว่าผู้ปฏิบัติงานซึ่งเป็น ผู้มีสิทธิจะ ได้รับเงินบำเหน็จตามข้อ3ไว้ว่าหมายความว่าผู้อำนวยการรองผู้อำนวยการพนักงานหรือคนงานขององค์การซึ่งได้รับการแต่งตั้งการบรรจุหรือการจ้างให้เป็นผู้ปฏิบัติงานในองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ใน อัตราประจำ ดังนั้นพนักงานหรือคนงานไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งการบรรจุหรือการจ้างก็เป็นผู้ปฏิบัติงานซึ่ง มีสิทธิจะ ได้รับเงินบำเหน็จตามที่กำหนดในข้อ3ทั้งสิ้น การทบทวน คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ตามข้อบังคับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ฉบับที่10ข้อที่12จะถึงที่สุดก็ต่อเมื่อเป็นคำวินิจฉัยที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ3ข้อ4โดยชอบเมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ คำวินิจฉัยจึง มิชอบด้วยกฎหมายและ ยังไม่ถึงที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 74/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันชีวิตกับประกันอุบัติเหตุ: การตีความตามสัญญาจ้างและกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา889ได้วางหลักไว้ว่าในสัญญาประกันชีวิตการใช้จำนวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่งตามกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลของผู้ตายได้ความว่าหากผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยอุบัติเหตุจากการทำงานบริษัทผู้รับประกันจะจ่ายเงินให้การจ่ายเงินก็โดยอาศัยความมรณะของผู้ตายจึงเป็นการประกันชีวิตตามกฎหมายมาตราดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้จัดการประกันชีวิตให้แก่ผู้ตายตามที่ได้ตกลงไว้แล้วส่วนสาเหตุการตายเป็นเพียงเงื่อนไขที่ผู้เอาประกันและผู้รับประกันจะตกลงกันในการจ่ายเงินเท่านั้นไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตกลับกลายเป็นไม่ใช่สัญญาประกันชีวิตไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7355/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการทำแผนที่พิพาท
ศาลสั่งให้คู่ความไปนำชี้ในการทำแผนที่พิพาทพร้อมทั้งระบุว่าหากโจทก์ไม่ไปนำชี้ถือว่าทิ้งฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่ไปนำชี้ตามที่ศาลกำหนด จึงถือว่าเป็นการไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่กำหนดไว้เพื่อการนั้น อันเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ศาลชอบที่จะสั่งจำหน่ายคดีได้ตามมาตรา 132(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7323/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในรถเช่าซื้อ และความรับผิดทางอาญาของผู้ให้เช่าซื้อ
รถยนต์กระบะของกลางเป็นของผู้ร้อง แม้ต่อมาผู้ร้องจะทำสัญญากับ ป. และส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวให้ ป. นำไปใช้ แต่สัญญาที่ผู้ร้องกับ ป. ทำขึ้นตามเอกสารหมาย ร.5 นั้นมีข้อความเห็นได้ชัดว่า เป็นสัญญาเช่าซื้อหาได้เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดไม่รถยนต์กระบะดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง แม้สัญญาเช่าซื้อข้อ 6 ระบุว่า หากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดติดต่อกัน เจ้าของมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้โดยทันที และทางนำสืบของผู้ร้องที่ว่า ป. ชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดเพียงงวดเดียวแล้วไม่ชำระอีกจนรถยนต์กระบะของกลางถูกริบ อันเป็นการผิดนัดชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดติดต่อกัน แต่ผู้ร้องไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา เป็นที่เห็นได้ว่าเพื่อประสงค์จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วน ซึ่งผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดจนกว่าสัญญาเช่าซื้อจะสิ้นสุดลงนั้น กรณีดังกล่าวเป็นคนละเรื่องกับความผิดทางอาญา หาถือได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดไม่ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์กระบะดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7323/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถเช่าซื้อ: ผู้ให้เช่าซื้อยังคงมีกรรมสิทธิ์จนกว่าจะชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วน ไม่ถือเป็นการรู้เห็นเป็นใจกับความผิด
รถยนต์กระบะของกลางเป็นของผู้ร้อง แม้ต่อมาผู้ร้องจะทำสัญญากับ ป. และส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวให้ ป. นำไปใช้ แต่สัญญาที่ผู้ร้องกับ ป.ทำขึ้นตามเอกสารหมาย ร.5 นั้นมีข้อความเห็นได้ชัดว่า เป็นสัญญาเช่าซื้อหาได้เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดไม่ รถยนต์กระบะดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง
แม้สัญญาเช่าซื้อข้อ 6 ระบุว่า หากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดติดต่อกัน เจ้าของมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้โดยทันที และทางนำสืบของผู้ร้องที่ว่า ป. ชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดเพียงงวดเดียวแล้วไม่ชำระอีกจนรถยนต์กระบะของกลางถูกริบ อันเป็นการผิดนัดชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดติดต่อกัน แต่ผู้ร้องไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา เป็นที่เห็นได้ว่าเพื่อประสงค์จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วน ซึ่งผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดจนกว่าสัญญาเช่าซื้อจะสิ้นสุดลงนั้น กรณีดังกล่าวเป็นคนละเรื่องกับความผิดทางอาญา หาถือได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดไม่ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์กระบะดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7268/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำคดีกรรมสิทธิ์ที่ดิน: คดีเกี่ยวเนื่องต้องห้ามตามกฎหมาย
แม้คดีก่อนที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยกับคดีนี้คู่ความที่ฟ้องและถูกฟ้องจะผลัดกันเป็นโจทก์ จำเลย แต่คดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ในคดีก่อนกับคดีฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยในคดีนี้ก็ถือเป็นคดีประเภทเดียวกัน ตามป.วิ.พ. มาตรา 142 (1) เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นได้พิพากษาในประเด็นแห่งคดีว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์ฟ้องคดีนี้ให้ขับไล่จำเลยอีก โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นเดียวกับคดีก่อนว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทคดีโจทก์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเดียวกัน อันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7268/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องขับไล่ซ้ำซ้อนหลังศาลตัดสินเรื่องกรรมสิทธิ์เดิม: ฟ้องต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
แม้คดีก่อนที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยกับคดีนี้คู่ความที่ฟ้องและถูกฟ้องจะผลัดกันเป็นโจทก์ จำเลย แต่คดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ในคดีก่อนกับคดีฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยในคดีนี้ก็ถือเป็นคดีประเภทเดียวกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(1) เมื่อคดีก่อนศาลชั้นต้นได้พิพากษาในประเด็นแห่งคดีว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์ฟ้องคดีนี้ให้ขับไล่จำเลยอีก โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นเดียวกับคดีก่อนว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท คดีโจทก์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเดียวกัน อันเกี่ยวกับประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7103/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานและการวินิจฉัยประเด็นไม่ครบถ้วนในคดีแรงงาน
ศาลแรงงานกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ 5 ข้อ และให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานในประเด็นอื่น ๆนอกจากประเด็นข้อที่ 1 เพียงประเด็นเดียวว่า ค่าอาหารต้องนำมารวมคิดเป็นค่าจ้างด้วยหรือไม่ เมื่อประเด็นข้อนี้โจทก์มิได้แถลงรับข้อเท็จจริงใด ๆ ในคดี ทั้ง-ไม่มีข้อเท็จจริงที่จะฟังเป็นยุติที่ศาลแรงงานจะนำมาวินิจฉัยคดีของโจทก์ได้ แบบยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภ.ง.ด.1 เอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 ที่ศาล-แรงงานนำมาวินิจฉัยก็เป็นพยานหลักฐานของจำเลยซึ่งโจทก์มิได้รับว่าถูกต้อง การที่ศาลแรงงานสั่งงดสืบพยานโจทก์จึงเป็นการมิชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 85 ประกอบพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31และการที่โจทก์มิได้แถลงสละประเด็นข้อใด ประเด็นแห่งคดีที่ศาลแรงงานกำหนดไว้ 5 ข้อ จึงยังคงมีอยู่และศาลแรงงานต้องวินิจฉัย ที่ศาลแรงงานวินิจฉัยประเด็นข้อที่ 1 เพียงข้อเดียวก็ไม่ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง เมื่อคดียังมีประเด็นอื่นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่เช่นนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยประเด็นข้อที่ 1 ข้อเดียวแล้วพิพากษา-ยกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7103/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทและการวินิจฉัยคดีแรงงาน ศาลต้องวินิจฉัยทุกประเด็นที่มิได้สละ
ศาลแรงงานกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ 5 ข้อ และให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานในประเด็นอื่น ๆ นอกจากประเด็นข้อที่ 1 เพียงประเด็นเดียวว่า ค่าอาหารต้องนำมารวมคิดเป็นค่าจ้างด้วยหรือไม่เมื่อประเด็นข้อนี้โจทก์มิได้แถลงรับข้อเท็จจริงใด ๆ ในคดีทั้งไม่มีข้อเท็จจริงที่จะฟังเป็นยุติที่ศาลแรงงานจะนำมาวินิจฉัยคดีของโจทก์ได้ แบบยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณที่จ่าย ภ.ง.ด.1 เอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 ที่ศาลแรงงานนำมาวินิจฉัยก็เป็นพยานหลักฐานของจำเลยซึ่งโจทก์มิได้รับว่าถูกต้องการที่ศาลแรงงานสั่งงดสืบพยานโจทก์จึงเป็นการมิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 85 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 และการที่โจทก์มิได้แถลงสละประเด็นข้อใด ประเด็นแห่งคดีที่ศาลแรงงานกลางกำหนดไว้ 5 ข้อ จึงยังคงมีอยู่และศาลแรงงานต้องวินิจฉัย ที่ศาลแรงงานวินิจฉัยประเด็นข้อที่ 1เพียงข้อเดียวก็ไม่ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง เมื่อคดียังมีประเด็นอื่นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่เช่นนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยประเด็นข้อที่ 1 ข้อเดียวแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
of 221