พบผลลัพธ์ทั้งหมด 87 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทน ตัวการ และความรับผิดชอบในสัญญาประมูลก่อสร้าง
บริษัทจำเลยยอมให้โจทก์ยืมชื่อไปทำการประมูล เมื่อโจทก์ประมูลได้ บริษัทจำเลยยังถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของงานอยู่ ทั้งในการให้โจทก์เอาชื่อบริษัทจำเลยไปประมูลบริษัทจำเลยคิดเอาผลประโยชน์จากโจทก์ ดังนั้นการที่บริษัทจำเลยทำสัญญารับเหมากับการรถไฟจึงเป็นการออกหน้าเป็นตัวการ ทำสัญญาแทนโจทก์ โดยแสดงตนต่อการรถไฟว่าบริษัทจำเลยเป็นคู่สัญญา แท้จริงแล้วเป็นเพียงทำสัญญาแทนโจทก์เท่านั้น เมื่อบริษัทจำเลยเป็นเพียงตัวแทนโจทก์ จึงไม่มีสิทธิเอางานนี้ซึ่งเป็นของโจทก์มาทำสัญญาเป็นผู้จ้างให้โจทก์ผู้เป็นตัวการกลับกลายเป็นผู้รับจ้าง แม้โจทก์ลงนามในสัญญารับเหมาช่วง ก็หามีผลทำให้โจทก์กลับกลายเป็นผู้รับจ้างไปไม่ บริษัทจำเลยยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อโจทก์ในฐานเป็นตัวแทนของโจทก์เมื่อโจทก์ทำงานเสร็จ การรถไฟรับมอบงานและจ่ายเงินให้บริษัทจำเลยรับมา จำเลยจึงมีหน้าที่ส่งเงินนั้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 810 การที่บริษัทจำเลยรับเงินที่โจทก์ทำงานเสร็จจากการรถไฟถือว่ารับมาแทนโจทก์บริษัทจำเลยไม่ส่งมอบเงินนั้นให้โจทก์ โจทก์ไม่สามารถทำงานงวดต่อไปได้ เป็นเหตุให้บริษัทจำเลยถูกการรถไฟปรับจึงเกิดจากความผิดของบริษัทจำเลยเอง บริษัทจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในจำนวนเงินที่ถูกปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 812 เมื่อบริษัทจำเลยเสียค่าปรับให้การรถไฟไปแล้วจึงเรียกคืนจากโจทก์ไม่ได้.
โจทก์ซึ่งเป็นตัวการและบริษัทจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนตกลงกันว่า โจทก์ทำงานงวดใดเสร็จ ก็ให้บริษัทจำเลยส่งมอบงานนั้นแก่การรถไฟผู้ว่าจ้าง เพื่อขอรับเงินตามสัญญา แต่ตามสัญญากำหนดการจ่ายเงินไว้เป็นงวดๆ เมื่อทำเสร็จและการรถไฟรับมอบงานแล้ว การคิดผลประโยชน์ให้บริษัทจำเลยจึงคิดให้เมื่อโจทก์รับเงินมาแต่ละงวด หาได้คิดให้ในคราวเดียวกัน จำนวนรวมกัน 5% ของเงินที่ประมูลไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ทำงานเสร็จงวดที่ 1 ได้รับเงินมาเพียงงวดเดียวก็ต้องเลิกทำ เพราะบริษัทจำเลยเป็นต้นเหตุ ไม่มอบเงินให้ บริษัทจำเลยจึงเรียกเอาได้เฉพาะ5% ของเงินงวดที่ 1 ที่ได้รับมาแล้ว จะเรียกเอา 5% ของเงินที่ยังไม่ได้รับมาจากการรถไฟหาได้ไม่
หนี้เงินซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งยังมีข้อต่อสู้อยู่ จะหักกันไม่ได้
โจทก์ซึ่งเป็นตัวการและบริษัทจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนตกลงกันว่า โจทก์ทำงานงวดใดเสร็จ ก็ให้บริษัทจำเลยส่งมอบงานนั้นแก่การรถไฟผู้ว่าจ้าง เพื่อขอรับเงินตามสัญญา แต่ตามสัญญากำหนดการจ่ายเงินไว้เป็นงวดๆ เมื่อทำเสร็จและการรถไฟรับมอบงานแล้ว การคิดผลประโยชน์ให้บริษัทจำเลยจึงคิดให้เมื่อโจทก์รับเงินมาแต่ละงวด หาได้คิดให้ในคราวเดียวกัน จำนวนรวมกัน 5% ของเงินที่ประมูลไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ทำงานเสร็จงวดที่ 1 ได้รับเงินมาเพียงงวดเดียวก็ต้องเลิกทำ เพราะบริษัทจำเลยเป็นต้นเหตุ ไม่มอบเงินให้ บริษัทจำเลยจึงเรียกเอาได้เฉพาะ5% ของเงินงวดที่ 1 ที่ได้รับมาแล้ว จะเรียกเอา 5% ของเงินที่ยังไม่ได้รับมาจากการรถไฟหาได้ไม่
หนี้เงินซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งยังมีข้อต่อสู้อยู่ จะหักกันไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 439/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารต้องรับผิดต่อการรับฝากเงินของผู้จัดการสาขา แม้รับฝากนอกสถานที่หรือนอกเวลาทำการ
กิจการของธนาคารมีการรับฝากเงินเป็นประการสำคัญ ดังนั้น ผู้จัดการธนาคารกระทำการรับฝากเงิน ก็เป็นกิจการที่ธนาคารมอบหมายให้กระทำ ข้อที่ผู้จัดการสาขาไปรับฝากเงินถึงบ้านผู้ฝาก และรับฝากในวันธนาคารหยุด การฝากเงินนอกสถานที่เป็นกิจการของธนาคาร จำเลยจะอ้างว่าผู้จัดการสาขากระทำโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหาได้ไม่
ผู้จัดการสาขาธนาคารรับฝากเงินมาแล้ว ไม่เอาเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งเป็นเรื่องตัวแทนไม่ส่งทรัพย์สินที่ได้มาแก่ตัวการ ตัวการจะปฏิเสธความรับผิดว่าทำนอกเหนืออำนาจย่อมไม่ได้
หนังสือแจ้งยอดคงเหลือ ซึ่งหนังสือของธนาคารสาขาของธนาคารจำเลยมีถึงโจทก์ ย่อมเป็นหนังสือของธนาคารจำเลย จำเลยจะอ้างว่าเป็นหนังสือส่วนตัวของผู้จัดการสาขาหาได้ไม่ เพราะจำเลยแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้จัดการมีอำนาจเป็นตัวแทนจำเลย
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ฝากเงินต่อผู้จัดการสาขาธนาคารแจ้งว่าผู้จัดการนั้นไม่เอาเงินเข้าบัญชี เป็นการยักยอกเงินโจทก์ คำแจ้งความเช่นนี้ไม่ทำให้ธนาคารจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้ฝาก
ผู้จัดการสาขาธนาคารรับฝากเงินมาแล้ว ไม่เอาเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งเป็นเรื่องตัวแทนไม่ส่งทรัพย์สินที่ได้มาแก่ตัวการ ตัวการจะปฏิเสธความรับผิดว่าทำนอกเหนืออำนาจย่อมไม่ได้
หนังสือแจ้งยอดคงเหลือ ซึ่งหนังสือของธนาคารสาขาของธนาคารจำเลยมีถึงโจทก์ ย่อมเป็นหนังสือของธนาคารจำเลย จำเลยจะอ้างว่าเป็นหนังสือส่วนตัวของผู้จัดการสาขาหาได้ไม่ เพราะจำเลยแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้จัดการมีอำนาจเป็นตัวแทนจำเลย
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ฝากเงินต่อผู้จัดการสาขาธนาคารแจ้งว่าผู้จัดการนั้นไม่เอาเงินเข้าบัญชี เป็นการยักยอกเงินโจทก์ คำแจ้งความเช่นนี้ไม่ทำให้ธนาคารจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้ฝาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 439/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจตัวแทนธนาคาร: ธนาคารต้องรับผิดชอบการรับฝากเงินของผู้จัดการสาขา แม้เป็นการรับฝากนอกสถานที่หรือนอกเวลาทำการ
กิจการของธนาคารมีการรับฝากเงินเป็นประการสำคัญ ดังนั้นผู้จัดการธนาคารกระทำการรับฝากเงิน ก็เป็นกิจการที่ธนาคารมอบหมายให้กระทำ ข้อที่ผู้จัดการสาขาไปรับฝากเงินถึงบ้านผู้ฝากและรับฝากในวันธนาคารหยุดการฝากเงินนอกสถานที่เป็นกิจการของธนาคารจำเลยจะอ้างว่าผู้จัดการสาขากระทำโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหาได้ไม่
ผู้จัดการสาขาธนาคารรับฝากเงินมาแล้ว ไม่เอาเข้าบัญชีธนาคารซึ่งเป็นเรื่องตัวแทนไม่ส่งทรัพย์สินที่ได้มาแก่ตัวการ ตัวการจะปฏิเสธความรับผิดว่าทำนอกเหนืออำนาจย่อมไม่ได้
หนังสือแจ้งยอดคงเหลือ ซึ่งเป็นหนังสือของธนาคารสาขาของธนาคารจำเลยมีถึงโจทก์ ย่อมเป็นหนังสือของธนาคารจำเลยจำเลยจะอ้างว่าเป็นหนังสือส่วนตัวของผู้จัดการสาขาหาได้ไม่ เพราะจำเลยแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้จัดการมีอำนาจเป็นตัวแทนจำเลย
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ฝากเงินต่อผู้จัดการสาขาธนาคารแจ้งว่าผู้จัดการนั้นไม่เอาเงินเข้าบัญชี เป็นการยักยอกเงินโจทก์คำแจ้งความ เช่นนี้ไม่ทำให้ธนาคารจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้ฝาก
ผู้จัดการสาขาธนาคารรับฝากเงินมาแล้ว ไม่เอาเข้าบัญชีธนาคารซึ่งเป็นเรื่องตัวแทนไม่ส่งทรัพย์สินที่ได้มาแก่ตัวการ ตัวการจะปฏิเสธความรับผิดว่าทำนอกเหนืออำนาจย่อมไม่ได้
หนังสือแจ้งยอดคงเหลือ ซึ่งเป็นหนังสือของธนาคารสาขาของธนาคารจำเลยมีถึงโจทก์ ย่อมเป็นหนังสือของธนาคารจำเลยจำเลยจะอ้างว่าเป็นหนังสือส่วนตัวของผู้จัดการสาขาหาได้ไม่ เพราะจำเลยแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้จัดการมีอำนาจเป็นตัวแทนจำเลย
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ฝากเงินต่อผู้จัดการสาขาธนาคารแจ้งว่าผู้จัดการนั้นไม่เอาเงินเข้าบัญชี เป็นการยักยอกเงินโจทก์คำแจ้งความ เช่นนี้ไม่ทำให้ธนาคารจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้ฝาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1249/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนจำหน่ายสินค้า: หน้าที่, ความรับผิด, อายุความ และขอบเขตการฟ้องเรียกทรัพย์สิน
(1) องค์การสรรพาหารเป็นราชการไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ ไม่ว่าเป็นเอกสารประเภทใด (2) กรณีที่จำเลยมิใช่แต่เพียงเป็นสื่อกลางให้เขาทำสัญญากัน หากแต่จำเลยยังรับสินค้าไปจำหน่าย และชำระเงินค่าสินค้าคืนให้ตัวการโดยจำเลยได้รับบำเหน็จเป็นผลประโยชน์ และจำเลยยังมีอำนาจครอบครองสินค้า แล้วส่งมอบแก่ผู้ซื้อเรียกและรับเงินค่าสินค้า ทั้งหนังสือก็ยังระบุว่าหนังสือสัญญารับเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า อนึ่งการจัดหาระวางเรือโดยจำเลยตกลงกับผู้รับผลแทน โดยองค์การสรรพาหารเสียค่าระวางเองนั้น ย่อมเป็นการที่จำเลยทำในฐานเป็นตัวแทน มิใช่เป็นนายหน้าส่วนการที่จำเลยรับสินค้าไป แม้จะมีผู้ควบคุมโดยต้องตกลงราคากับผู้ควบคุมก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำตามคำสั่งขององค์การ(ตัวการ) (3) การส่งสินค้า เมื่อมีข้อผูกพันอย่างใดก็ต้องเป็นไปตามข้อตกลงแม้บริษัทจำเลยจะมีวัตถุประสงค์ทำกิจการเช่นนั้นหรือไม่ก็ตาม เมื่อจำเลยรับสินค้าไปขายแล้ว หักเอาบำเหน็จออกจากเงินที่ขายสินค้าไว้แล้วก็ต้องคืนเงินค่าสินค้าที่รับไปจำเลยจะยกเรื่องวัตถุประสงค์ของบริษัทมาสู้ เพื่อไม่ต้องคืนค่าสินค้าให้เขาหาได้ไม่
อนึ่ง เป็นการมิชอบในการที่จะอ้างว่าองค์การตั้งขึ้นไม่ชอบ ได้เงินมาไม่ชอบ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องคืนเงินที่ตนรับไปในฐานตัวแทนให้แก่ตัวการตามกฎหมาย
(4) เมื่อองค์การสรรพาหารเป็นราชการในสังกัดสำนักคณะรัฐมนตรี โจทก์ โจทก์ ก็มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์สินที่ยังตกอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนได้ (5) ถึงแม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่า จำเลยละเมิดสัญญาตัวแทน คือ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาแต่โจทก์มิได้เรียกค่าเสียหายเนื่องจากตัวแทนทำให้เกิดขึ้นแก่ตัวการหากแต่เรียกเอาเงินที่จำเลยหักไว้เกินคืน คือ เรียกเอาทรัพย์ของตนซึ่งอยู่ที่จำเลยนั่นเองคืน นั้น คดีมีอายุความ 10 ปี (6) ถึงแม้เอกสารที่โจทก์อ้างท้ายฟ้องปรากฏว่าจำเลยมิได้เป็นผู้รับสินค้าและการส่งสินค้าออกก็ทำในนามขององค์การสรรพาหาร โจทก์ก็ย่อมนำสืบถึงหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนตามสัญญาได้ ไม่ใช่เป็นการสืบแก้ไขเอกสาร (7) การที่บริษัทขนส่งยอมรับสินค้าของจำเลยที่ 1 บรรทุกเพิ่มเติมลงไปอีก ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัทรับขน ส่วนองค์การสรรพาหารมิใช่ผู้รับขน จะเรียกเอาค่าระวางจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ถึงแม้องค์การสรรพาหารจะเถียงว่าเป็นผู้เหมาลำเป็นเจ้าของระวางคนอื่นไม่มีสิทธิบรรทุกก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะมิได้มีสัญญารับขนกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องที่บริษัทรับขนจะต้องรับผิดต่อองค์การสรรพาหารเอง
อนึ่ง เป็นการมิชอบในการที่จะอ้างว่าองค์การตั้งขึ้นไม่ชอบ ได้เงินมาไม่ชอบ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องคืนเงินที่ตนรับไปในฐานตัวแทนให้แก่ตัวการตามกฎหมาย
(4) เมื่อองค์การสรรพาหารเป็นราชการในสังกัดสำนักคณะรัฐมนตรี โจทก์ โจทก์ ก็มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์สินที่ยังตกอยู่แก่จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนได้ (5) ถึงแม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่า จำเลยละเมิดสัญญาตัวแทน คือ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาแต่โจทก์มิได้เรียกค่าเสียหายเนื่องจากตัวแทนทำให้เกิดขึ้นแก่ตัวการหากแต่เรียกเอาเงินที่จำเลยหักไว้เกินคืน คือ เรียกเอาทรัพย์ของตนซึ่งอยู่ที่จำเลยนั่นเองคืน นั้น คดีมีอายุความ 10 ปี (6) ถึงแม้เอกสารที่โจทก์อ้างท้ายฟ้องปรากฏว่าจำเลยมิได้เป็นผู้รับสินค้าและการส่งสินค้าออกก็ทำในนามขององค์การสรรพาหาร โจทก์ก็ย่อมนำสืบถึงหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนตามสัญญาได้ ไม่ใช่เป็นการสืบแก้ไขเอกสาร (7) การที่บริษัทขนส่งยอมรับสินค้าของจำเลยที่ 1 บรรทุกเพิ่มเติมลงไปอีก ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัทรับขน ส่วนองค์การสรรพาหารมิใช่ผู้รับขน จะเรียกเอาค่าระวางจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ถึงแม้องค์การสรรพาหารจะเถียงว่าเป็นผู้เหมาลำเป็นเจ้าของระวางคนอื่นไม่มีสิทธิบรรทุกก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะมิได้มีสัญญารับขนกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องที่บริษัทรับขนจะต้องรับผิดต่อองค์การสรรพาหารเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบเงินซื้อกระบือไม่ใช่กู้ยืม ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ฟ้องเรียกเงินคืนได้
โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปหาซื้อกระบือให้โจทก์ มิใช่เป็นเรื่องกู้ยืมเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อจำเลยไม่ซื้อกระบือให้โจทก์ ๆ ก็ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบเงินซื้อกระบือ ไม่ถือเป็นสัญญาเงินกู้ ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
โจทก์มอบเงินให้จำเลย ไปหาซื้อกระบือให้โจทก์มิใช่เป็นเรื่องกู้ยืมเงินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อจำเลยไม่ซื้อกระบือให้โจทก์โจทก์ก็ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนถือครองที่ดิน: สิทธิในที่ดินเป็นของผู้ครอบครองจริง ไม่ใช่ผู้มีชื่อในฐานะตัวแทน แม้จะอ้างอายุความไม่ได้
เมื่อจำเลยมีชื่อในโฉนดที่ดินในฐานะตัวแทนเท่านั้นจำเลยจึงไม่มีฐานะอะไรที่จะยกเอาอายุความขึ้นอ้างเพื่อจะเอาที่ดินเป็นของตนเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนถือครองที่ดิน: สิทธิการอ้างอายุความไม่มีผลเมื่อที่ดินเป็นสินบริคณฑ์
เมื่อจำเลยมีชื่อในโฉนดที่ดินในฐานะตัวแทนเท่านั้นจำเลยจึงไม่มีฐานะ อะไรที่จะยกเอาอายุความขึ้นอ้าง เพื่อจะเอาที่ดินเป็นของตนเองเสียได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1807/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทนายรับเงินแทนความแล้วไม่ทำงานตามสัญญา ไม่มีสิทธิรับค่าจ้าง ต้องคืนเงินให้ตัวความ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้รับเงินราคาที่ดินของโจทก์มาแม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าจำเลยได้รับเงินของโจทก์มานั้นเป็นเงินค่าสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืน ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ทนายความรับเงินมาในฐานะแทนตัวความ มีหน้าที่ต้องมอบเงินคืนแก่ตัวความ
โจทก์ตกลงให้จำเลยซึ่งเป็นทนายซื้อที่ดินคืนในคดีที่โจทก์ฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลย แล้วให้จำเลยขายที่ดินนั้นต่อไป แต่จำเลยกลับตกลงกับบุคคลอื่นนั้น โดยจำเลยสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืนและรับเงินค่าสละสิทธิมา ถือว่าจำเลยมิได้ทำงานตามที่จ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง.
ทนายความรับเงินมาในฐานะแทนตัวความ มีหน้าที่ต้องมอบเงินคืนแก่ตัวความ
โจทก์ตกลงให้จำเลยซึ่งเป็นทนายซื้อที่ดินคืนในคดีที่โจทก์ฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลย แล้วให้จำเลยขายที่ดินนั้นต่อไป แต่จำเลยกลับตกลงกับบุคคลอื่นนั้น โดยจำเลยสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืนและรับเงินค่าสละสิทธิมา ถือว่าจำเลยมิได้ทำงานตามที่จ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1807/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทนายรับเงินแทนความมีหน้าที่ส่งคืน แม้จะอ้างงานอื่น หากมิได้ทำงานตามสัญญาไม่มีสิทธิรับค่าจ้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้รับเงินราคาที่ดินของโจทก์มาแม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าจำเลยได้รับเงินของโจทก์มานั้นเป็นเงินค่าสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืน ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ทนายความรับเงินมาในฐานะแทนตัวความ มีหน้าที่ต้องมอบเงินคืนแก่ตัวความ
โจทก์ตกลงให้จำเลยซึ่งเป็นทนายซื้อที่ดินคืน ในคดีที่โจทก์ฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลย แล้วให้จำเลยขายที่ดินนั้นต่อไป แต่จำเลยกลับตกลงกับบุคคลอื่นนั้น โดยจำเลยสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืนและรับเงินค่าสละสิทธิมา ถือว่าจำเลยมิได้ทำงานตามที่จ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง
ทนายความรับเงินมาในฐานะแทนตัวความ มีหน้าที่ต้องมอบเงินคืนแก่ตัวความ
โจทก์ตกลงให้จำเลยซึ่งเป็นทนายซื้อที่ดินคืน ในคดีที่โจทก์ฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลย แล้วให้จำเลยขายที่ดินนั้นต่อไป แต่จำเลยกลับตกลงกับบุคคลอื่นนั้น โดยจำเลยสละสิทธิไม่ซื้อที่ดินคืนและรับเงินค่าสละสิทธิมา ถือว่าจำเลยมิได้ทำงานตามที่จ้าง จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง