พบผลลัพธ์ทั้งหมด 565 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1051/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยได้เลย
คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นไปได้เลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1051/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง ศาลฎีกาพิจารณาเองได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงแต่ศาลอุทธรณ์ภาค1ยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นไปได้เลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 918/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการอุทธรณ์หนี้จำนอง: การบังคับคดีเกินกว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์เพียงแต่อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 5 รับผิดในหนี้ที่เหลือซึ่งเป็นหนี้สามัญ นอกเหนือไปจากหนี้จำนองที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในวงเงินต้น 2,000,000 บาท เท่านั้น โจทก์หาได้อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 5รับผิดในหนี้จำนองเพิ่มขึ้นไม่ ดังนั้น หากโจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์แล้ว ก็ไม่อาจบังคับจำนองได้มากไปกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในหนี้จำนองจึงไม่มีเหตุที่จะให้งดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 5 ไว้ในระหว่างอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 918/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับชำระหนี้จากการจำนองและการจำกัดสิทธิในการไถ่ถอนทรัพย์สินจำนองเมื่อมีการอุทธรณ์
โจทก์เพียงแต่อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่5รับผิดในหนี้ที่เหลือซึ่งเป็นหนี้สามัญนอกเหนือไปจากหนี้จำนองที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่5รับผิดในวงเงินต้น2,000,000บาทเท่านั้นโจทก์หาได้อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่5รับผิดในหนี้จำนองเพิ่มขึ้นไม่ดังนั้นหากโจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์แล้วก็ไม่อาจบังคับจำนองได้มากไปกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่5รับผิดในหนี้จำนองจึงไม่มีเหตุที่จะให้งดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองของจำเลยที่5ไว้ในระหว่างอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753-758/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดอาญาเกี่ยวกับการครอบครองอาวุธ, การใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ และกรรโชกทรัพย์
พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ.2490มาตรา5(1)(ก)ได้บัญญัติยกเว้นมิให้ใช้บังคับแก่อาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนของราชการทหารและตำรวจที่มีหรือใช้ในราชการเมื่ออาวุธปืนของกลางเป็นของกรมตำรวจและจำเลยที่1เบิกมาใช้ในราชการโดยชอบจำเลยที่1จึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตแม้จะได้ความว่าจำเลยที่1เบิกอาวุธปืนของกลางมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน2532และมิได้ส่งคืนเพื่อตรวจสอบในกำหนด1เดือนก็ตามก็เป็นเรื่องผิดระเบียบภายในของกรมตำรวจหาทำให้การกระทำที่ไม่เป็นความผิดกลับกลายเป็นความผิดขึ้นไม่ จำเลยที่1รับราชการตำแหน่งรองสารวัตรแผนก5กองกำกับการ2กองปราบปรามกรมตำรวจที่กรุงเทพมหานครจำเลยที่1ได้ยื่นใบลาขอหยุดพักผ่อนประจำปีตั้งแต่วันที่22ถึงวันที่29กันยายน2532และได้เดินทางไปที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาสต่อมาถูกจับและยึดอาวุธปืนของกลางได้ในวันที่3ตุลาคม2532ที่ห้องพักโรงแรมพลาซ่า อำเภอสุไหงโก-ลก และจำเลยที่1พาอาวุธปืนของกลางติดตัวไปโดยไม่ได้รับใบอนุญาตถือได้ว่าจำเลยที่1พาอาวุธปืนของกลางไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรทั้งการพาอาวุธปืนของกลางดังกล่าวไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะนั้นจำเลยที่1มิได้อยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ราชการเนื่องจากจำเลยที่1มิได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการในท้องที่ดังกล่าวจำเลยที่1จึงมีความผิดฐานพาอาวุธปืนของกลางไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันควรด้วย จำเลยที่1กับพวกอีกหนึ่งคนมาที่บ้านผู้เสียหายแนะนำตัวว่าชื่อร้อยตำรวจโทอ. มาจากกองปราบปรามมาทำงานโดยขอความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายและถามผู้เสียหายว่าจะให้เท่าใดผู้เสียหายเป็นนักการพนันเข้าใจว่าเจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามมาขอเงินกลับจะถูกจับกุมเพราะในบ้านของผู้เสียหายมีการลักลอบเล่นการพนันเป็นประจำจึงบอกว่าจะให้10,000บาทจำเลยที่1ขอ15,000บาทผู้เสียหายจึงให้เงินจำนวนดังกล่าวจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยที่1มิได้แกล้งกล่าวหาผู้เสียหายในข้อหาใดทั้งจำเลยที่1มิได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบแต่ประการใดจำเลยที่1เพียงแต่พูดขอเงินค่าใช้จ่ายเป็นส่วนตัวซึ่งผู้เสียหายจะให้หรือไม่ก็ได้จำเลยที่1มิได้กระทำการอันใดอันเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งข่มขืนใจผู้เสียหายให้มอบเงินจำเลยที่1ยังไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา148 จำเลยที่1เรียกร้องเงินจากส. และอ. ผู้เสียหายแต่ละรายหากไม่ยอมให้เงินจะจับกุมจนผู้เสียหายทั้งสองรายกลัวจึงยอมให้เงินแก่จำเลยที่1แม้ผู้เสียหายทั้งสองเป็นเจ้ามือสลากกินรวบซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการพนันแต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่1มีหลักฐานยืนยันการกระทำผิดของผู้เสียหายทั้งสองรายนี้ทั้งตามพฤติการณ์ที่จำเลยที่1เรียกร้องเงินจากผู้เสียหายหลายรายในเวลาไล่เลี่ยกันแสดงว่าจำเลยมีเจตนามาแต่แรกที่จะใช้อำนาจในตำแหน่งเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดข่มขืนใจและจูงใจให้ผู้เสียหายทั้งสองมอบเงินให้แก่จำเลยที่1โดยขู่ว่าถ้าไม่ให้เงินก็จะจับกุมการกระทำดังกล่าวจึงเป็นการแกล้งกล่าวหาผู้เสียหายเพื่อเรียกร้องเอาเงินเท่านั้นดังนั้นการที่จำเลยที่1เรียกร้องเงินจากผู้เสียหายทั้งสองรายหากไม่ยอมให้จะจับกุมจึงเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา148และเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ทรัพย์สินแก่จำเลยที่1ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา337 จำเลยที่1เรียกร้องเงินจากพ. ผู้เสียหายโดยกล่าวในทำนองว่าถ้าไม่ให้เงินจะทำการจับกุมหญิงที่รับจ้างค้าประเวณีพ.ตกลงให้เงินแก่จำเลยที่1เพราะพ.เป็นหัวหน้าผู้อำนวยการคุมผู้หญิงที่ประกอบอาชีพค้าประเวณีในเขตอำเภอสุไหงโก-ลกและพ. ตกลงให้เงินเพราะไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายในพวกสมาชิกหญิงที่มีอาชีพรับจ้างค้าประเวณีดังนั้นการที่จำเลยที่1เรียกร้องเงินจากพ.ผู้เสียหายหากไม่ยอมให้จะจับกุมหญิงที่รับจ้างค้าประเวณีซึ่งอยู่ในความดูแลของพ. ผู้เสียหายโดยพฤติการณ์ตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้วจำเลยที่1มีเจตนามาแต่แรกที่จะใช้อำนาจในตำแหน่งเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจจับกุมผู้กระทำความผิดข่มขืนใจให้พ.ผู้เสียหายมอบเงินให้แก่จำเลยที่1โดยขู่ว่าถ้าไม่ให้เงินก็จะจับกุมหญิงค้าประเวณีซึ่งอยู่ในความดูแลของพ. ผู้เสียหายทั้งที่ไม่ปรากฏว่าขณะข่มขู่ดังกล่าวมีการค้าประเวณีกันจริงกรณีจึงเป็นการแกล้งกล่าวหาขึ้นเพื่อจะเรียกเอาเงินเท่านั้นเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา148และเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ทรัพย์สินแก่จำเลยที่1ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา337 ความผิดกระทงที่หนักที่สุดที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่1นั้นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา148ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน10ปีขึ้นไปกรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา91(3)ซึ่งเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วโทษจำคุกทั้งสิ้นจะต้องไม่เกินกำหนด50ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อจากการเลี้ยวรถตัดหน้าและการรับฟังพยานหลักฐานค่ารักษาพยาบาล
เมื่อช่องว่างระหว่างเกาะกลางถนนมีรูปเป็นส่วนโค้งและส่วนเว้าที่แสดงว่าเป็นช่องกลับรถของรถที่สวนทางมาแต่ไม่ใช่ช่องกลับรถของรถจำเลยที่สวนทางไปและยังมีป้ายเครื่องหมายจราจรห้ามกลับรถปักไว้ตรงหัวเกาะการที่ ว. ขับรถบรรทุกของจำเลยเคลื่อนออกจากไหล่ทางแล้วเลี้ยวขวาตัดหน้ารถทางตรงที่แล่นตามมาเพื่อจะกลับรถข้ามไปยังอีกถนนหนึ่งนั้นโดยปกติวิสัยจะต้องใช้ความระมัดระวังดูแลให้รถที่แล่นตามมาได้ผ่านพ้นไปให้ปลอดภัยเสียก่อน ว.ขับรถบรรทุกเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของโจทก์ในระยะกระชั้นชิดโดยไม่ระมัดระวังดูแลดังกล่าวเป็นเหตุให้รถเฉี่ยวชนกันจึงเป็นความประมาทเลินเล่อของ ว. แต่ฝ่ายเดียว การที่ต้นฉบับใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลหายไปหาอยู่2-3วันก็ไม่พบกรณีจึงถือได้ว่าต้นฉบับเอกสารสูญหายเมื่อศาลยอมรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวก็เท่ากับศาลอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบแทนต้นฉบับศาลจึงมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา93(2)และมีอำนาจกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่ารักษาพยาบาลแก่โจทก์ตามเอกสารดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อในการขับรถตัดหน้าและอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารทางการแพทย์
เมื่อช่องว่างระหว่างเกาะกลางถนนมีรูปเป็นส่วนโค้งและส่วนเว้าที่แสดงว่าเป็นช่องกลับรถของรถที่สวนทางมา แต่ไม่ใช่ช่องกลับรถของรถจำเลยที่สวนทางไป และยังมีป้ายเครื่องหมายจราจรห้ามกลับรถปักไว้ตรงหัวเกาะ การที่ ว.ขับรถบรรทุกของจำเลยเคลื่อนออกจากไหล่ทาง แล้วเลี้ยวขวาตัดหน้ารถทางตรงที่แล่นตามมาเพื่อจะกลับรถข้ามไปยังอีกถนนหนึ่งนั้น โดยปกติวิสัยจะต้องใช้ความระมัดระวังดูแลให้รถที่แล่นตามมาได้ผ่านพ้นไปให้ปลอดภัยเสียก่อน ว. ขับรถบรรทุกเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของโจทก์ในระยะกระชั้นชิดโดยไม่ระมัดระวังดูแลดังกล่าวเป็นเหตุให้รถเฉี่ยวชนกัน จึงเป็นความประมาทเลินเล่อของ ว. แต่ฝ่ายเดียว
การที่ต้นฉบับใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลหายไป หาอยู่2 - 3 วัน ก็ไม่พบ กรณีจึงถือได้ว่าต้นฉบับเอกสารสูญหาย เมื่อศาลยอมรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวก็เท่ากับศาลอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบแทนต้นฉบับ ศาลจึงมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93(2) และมีอำนาจกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่ารักษพยาบาลแก่โจทก์ตามเอกสารดังกล่าว
การที่ต้นฉบับใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลหายไป หาอยู่2 - 3 วัน ก็ไม่พบ กรณีจึงถือได้ว่าต้นฉบับเอกสารสูญหาย เมื่อศาลยอมรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวก็เท่ากับศาลอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบแทนต้นฉบับ ศาลจึงมีอำนาจรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93(2) และมีอำนาจกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่ารักษพยาบาลแก่โจทก์ตามเอกสารดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 559/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานเบิกความยืนยันตัวตนคนร้ายในคดีพยายามฆ่า แม้มีข้อโต้แย้งเรื่องสภาพแสงและระยะห่าง
โจทก์มีผู้เสียหายและมารดาของผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยยิงผู้เสียหายโดยบิดาของผู้เสียหายเป็นลูกพี่ลูกน้องกับจำเลยแสดงว่าผู้เสียหายกับมารดาของผู้เสียหายรู้จักจำเลยดีไม่น่าสงสัยว่าจะเห็นหรือจำผิดพลาดหรือกลั่นแกล้งกล่าวหาจำเลยจึงเชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 348/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขชื่อจำเลยในคำฟ้อง: ศาลอนุญาตแก้ไขได้หากมีเหตุสมควร แม้ไม่ตรงตาม มาตรา 179
การขอแก้ไขคำฟ้องที่ระบุไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 เป็นเพียงตัวอย่างที่คู่ความจะขอแก้ไข เมื่อมีเหตุ อันสมควรย่อมกระทำได้แม้ไม่ใช่เป็นเหตุที่ระบุไว้ตามมาตรา 179 ก็ตาม โจทก์เพิ่มเติมชื่อจำเลยที่ 2 อีกชื่อหนึ่งว่า"นางสาววันทนีย์" เพื่อให้ชื่อของจำเลยที่ 2 ชัดเจนขึ้นขอแก้ไขนามสกุลของจำเลยที่ 2 จาก "ตันทวานิช"มาเป็น"แซ่ฉั่ว"เพื่อความถูกต้อง เพราะนามสกุลตันทวานิชเป็นของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นสามีที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่เป็นการฟ้องคดีต่างบุคคลกัน โจทก์จึงมีสิทธิเพิ่มเติมชื่อจำเลยที่ 2 และแก้ไขชื่อสกุลของจำเลยที่ 2 ให้ชัดเจนและถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ร่วมขนส่งและผู้ขนส่งทอดสุดท้ายกรณีสินค้าสูญหายระหว่างการขนส่งทางทะเล
จำเลยประกอบอาชีพตัวแทนเดินเรือของบริษัทในต่างประเทศซึ่งไม่มีสาขาอยู่ในประเทศไทย และเป็นตัวแทนของบริษัทผู้ขนส่ง เมื่อเรือสินค้าจากต่างประเทศมาถึงท่าเรือเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี จำเลยได้ดำเนินการติดต่อกรมศุลกากรเพื่อให้พนักงานศุลกากรไปตรวจสินค้าในเรือ ติดต่อกองตรวจคนเข้าเมืองเพื่อส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจบนเรือ แจ้งเวลาเรือเข้าให้บริษัทผู้รับตราส่งทราบ และให้นำใบตราส่งมาแลกใบปล่อยสินค้าจากจำเลย สั่งให้นายเรือปล่อยสินค้า และวางหนังสือค้ำประกันของธนาคารต่อการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในการใช้บริการทางท่าเรือ เมื่อเรือสินค้ามาถึงท่าเรือเกาะสีชัง จำเลยเป็นผู้ว่าจ้างบริษัท จ. ขนถ่ายสินค้าจากเรือสินค้าสู่เรือฉลอมเพื่อส่งให้แก่บริษัทผู้รับตราส่งที่ท่าเรือกรุงเทพตามที่ระบุไว้ในใบตราส่ง และบริษัท จ. ได้ทำรายงานสินค้าขาดเกินมอบให้แก่จำเลย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการขนส่งทอดสุดท้ายขึ้นจากเรือสินค้า เพื่อส่งมอบให้แก่ผู้รับตราส่งและเพื่อให้สินค้าพิพาทได้ขนส่งถึงมือผู้ซื้อซึ่งถือได้ว่าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยเป็นผู้ร่วมขนส่งและเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้าย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 618 ซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงกับกฎหมายว่าด้วยการรับขนส่งทางทะเลในขณะเกิดมูลคดีนี้ เมื่อสินค้าที่ขนส่งสูญหายระหว่างการขนส่งจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการสูญหายของสินค้าให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่ง