คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 565 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9165/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เมทแอมเฟตามีนครอบครอง-ขายกรรมเดียว: ศาลฎีกายกวินิจฉัยประเด็นความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา
หลังจากสายลับได้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน 8 เม็ด จากจำเลยแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจได้เข้าไปตรวจค้นบ้านจำเลยพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 3 เม็ด ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ทั้งเมทแอมเฟตามีนจำนวน 8 เม็ด และ 3 เม็ด ไม่ปรากฏว่าต่างชนิดกัน และมีน้ำหนักใกล้เคียงกันจึงฟังได้ว่า เมทแอมเฟตามีนทั้ง 11 เม็ดเป็นจำนวนเดียวกัน การที่จำเลยมีเมทแอม-เฟตามีนจำนวน 3 เม็ด ในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกับที่จำเลยขายเมทแอม-เฟตามีนจำนวน 8 เม็ดไปนั้น ตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน3 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อขายนั่นเอง ซึ่งการขายหรือมีไว้เพื่อขายเป็นความผิดอย่างเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวคือการขาย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8514/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้า: นับแต่วันจดทะเบียน, ไม่ใช่การติดตามทรัพย์สิน
การฟ้องเพื่อติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 เป็นการใช้อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับแก่ทรัพย์สินที่มีรูปร่างอันได้แก่อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ส่วนสิทธิในเครื่องหมายการค้าเป็นทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งเป็นสิทธิในนามธรรม การใช้สิทธิฟ้องคดีจึงต้องเป็นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองไว้โดยเฉพาะอันได้แก่ พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิจึงไม่อาจนำมาตรา 1336 มาใช้บังคับได้ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาท โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่า ส. เป็นการฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 มาตรา 41(1)ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้จึงต้องนำบทบัญญัติทั่วไปว่าด้วยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม ซึ่งมีกำหนด10 ปี มาใช้บังคับโดยอนุโลม และต้องเริ่มนับอายุความตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 เดิมคือนับตั้งแต่วันที่ ส. จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8514/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีเครื่องหมายการค้าต้องใช้กฎหมายเฉพาะ อายุความฟ้องเป็นไปตามบทบัญญัติทั่วไป ป.พ.พ.
การฟ้องคดีเพื่อติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 เป็นการใช้อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับแก่ทรัพย์สินที่มีรูปร่างอันได้แก่อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ ส่วนสิทธิในเครื่องหมายการค้าเป็นทรัพย์-สินทางปัญญาซึ่งเป็นสิทธิในนามธรรม การใช้สิทธิฟ้องคดีจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองไว้โดยเฉพาะอันได้แก่ พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ กรณีของโจทก์ไม่อาจนำมาตรา 1336 แห่ง ป.พ.พ. มาใช้บังคับได้ ตามคำฟ้องโจทก์เป็นเรื่องฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาท โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีว่า ส. และจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมผู้รับมรดกของ ส. เป็นการฟ้องคดีตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 มาตรา 41 (1) ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องนำบทบัญญัติทั่วไปว่าด้วยอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 เดิม ซึ่งมีกำหนด 10 ปี มาใช้บังคับโดยอนุโลม และต้องเริ่มนับอายุความตั้งแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 169 เดิม คือนับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2514 อันเป็นวันจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาท แต่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2533 เกินกว่า 10 ปี แล้วคดีของโจทก์จึงขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8512/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดเครื่องหมายการค้า: ความคล้ายคลึงจนสับสน และสิทธิในการขอให้ถอนคำขอจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้าของโจทก์คำว่า "Dulcolax" มีอักษรโรมันรวม 8 ตัว ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยคำว่า "DECOLAX" มีอักษรโรมันรวม 7 ตัว และในเครื่องหมายการค้าของโจทก์และจำเลยคงมีแตกต่างกันที่ตัวอักษรโรมันเพียง 2 ตัว คือตัวอักษร "ul" และ "E" และเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นตัวพิมพ์ใหญ่เฉพาะตัวแรกคือตัวอักษร "D" ตัวอักษรอื่นเป็นตัวพิมพ์เล็ก ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด แต่เครื่องหมายการค้าทั้งสองต่างก็ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรโรมันตัวพิมพ์ใหญ่ "D" เหมือนกัน และลงท้ายด้วยตัวอักษรโรมันคำว่า "COLAX" เหมือนกัน ทั้งการอ่านก็ออกเสียงเป็น 3 พยางค์ เหมือนกันซึ่งเมื่อพิจารณาโดยรวมทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่าคล้ายคลึงกันมาก ซึ่งแม้แต่ผู้ที่อ่านอักษรโรมันได้ หากไม่พิจารณาให้รอบคอบ ก็ยากที่จะสังเกตเห็นข้อแตกต่างของเครื่องหมายการค้าทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าของโจทก์และจำเลยตามแผงบรรจุเม็ดยาต่างก็เป็นสินค้าประเภทยาระบายใช้สำหรับอาการท้องผูกเหมือนกันทั้งเม็ดยาและซองบรรจุยาก็มีลักษณะกลมนูนและมีขนาดเท่ากัน เม็ดยามีผิวเคลือบสีน้ำตาลเหลืองเหมือนกัน และเมื่อคำนึงถึงว่าส่วนใหญ่ของสาธารณชนมิได้มีความรู้ในภาษาอังกฤษหรือตัวอักษรโรมันดีพอที่จะแยกความแตกต่างของตัวอักษรด้วยแล้วย่อมเป็นไปได้ง่ายที่สาธารณชนจะเกิดความสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าได้ เครื่องหมายการค้าของจำเลยคำว่า "DECOLAX"จึงเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์คำว่า "Dulcolax" จนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้สับสนหรือหลงผิดแล้ว โจทก์ได้ใช้และจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้มาก่อนจำเลยจนเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยการที่จำเลยใช้เครื่องหมายการค้าคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในสินค้าประเภทเดียวกัน ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่จะเลียนแบบเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์คำว่า "Dulcolax" เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์ โจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า "DECOLAX" ของจำเลยได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและมีสิทธิดีกว่าจำเลยในเครื่องหมายการค้าคำว่า "DECOLAX"ตามคำขอจดทะเบียนเลขที่ 175169 ซึ่งเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนคำว่า "Dulcolax" ของโจทก์สำหรับสินค้าจำพวกที่ 3 ขอให้บังคับจำเลยถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยสำหรับสินค้าจำพวกเดียวกันกับของโจทก์ดังกล่าว เป็นการที่โจทก์ใช้สิทธิที่มีอยู่ตามมาตรา 41 (1)แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ แม้มาตรา 41 (1) ดังกล่าวจะเป็นบทบัญญัติให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าผู้มีสิทธิดีกว่าขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมาย-การค้า และคดีนี้เครื่องหมายการค้าของจำเลยยังไม่ได้รับการจดทะเบียนก็ตามแต่โจทก์ก็มีสิทธิขอให้จำเลยถอนคำขอจดทะเบียนนั้น เพราะแม้เครื่องหมาย-การค้านั้นได้รับการจดทะเบียนไปแล้วยังอาจถูกเพิกถอนได้ คำขอที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนผู้มีส่วนได้เสียซึ่งมีสิทธิดีกว่าย่อมขอให้บังคับผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทให้ถอนคำขอนั้นได้อยู่ในตัว การที่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าวินิจฉัยให้ยกคำคัดค้านของโจทก์เพราะเห็นว่าเครื่องหมาย-การค้าตามคำขอของจำเลยไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์แต่โจทก์ไม่เห็นด้วย จึงอุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้านั้น เป็นเรื่องที่โต้แย้งกันเกี่ยวกับปัญหาว่าเครื่องหมาย-การค้าของจำเลยเหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือไม่อันเป็นกรณีที่โจทก์ดำเนินการตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474 ซึ่งบทบัญญัติมาตราดังกล่าวหาได้ตัดสิทธิโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยโดยอ้างว่ามีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าจำเลยดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 41 (1) ไม่ ดังนี้แม้ขณะฟ้องคดีนี้โจทก์จะได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของนายทะเบียนต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าแล้วยังมิได้ถอนอุทธรณ์ก็ตาม โจทก์ก็มีสิทธิที่จะนำคดีนี้มาฟ้องได้
ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 4,000 บาท แต่คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ.ได้กำหนดอัตราค่าทนายความขั้นสูงในศาลอุทธรณ์ไว้เพียง 1,500 บาท การกำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ดังกล่าวจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8459/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. กรณีจบการศึกษานอกระบบ ต้องเข้าเรียนตามกำหนดเวลา และมีความรู้เทียบเท่า ม.ปลาย
ผู้ศึกษาจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประเมินผลการเรียนตามหลักสูตร การศึกษานอกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. 2530 เมื่อจบหลักสูตรแล้วจะมีศักดิ์และสิทธิเท่ากับผู้ที่จบจาก สถานศึกษาในระบบโรงเรียนทุกประการ ดังนั้น เมื่อผู้คัดค้าน จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดยโสธร จึงถือได้ว่าผู้คัดค้านได้เข้าเรียนอยู่ในสถาบันการศึกษาอื่นในประเทศตามกำหนดเวลามาโดยตลอดจนมีความรู้ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าหรือรับรองว่าเทียบได้ไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522มาตรา 19(1) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2535 มาตรา 12

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8459/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. สำเร็จการศึกษานอกระบบ
ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ได้เข้าเรียนอยู่ในสถาบันการศึกษาอื่นในประเทศตามกำหนดเวลามาโดยตลอดจนมีความรู้ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าหรือรับรองว่าเทียบได้ไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวง-ศึกษาธิการ จึงมีคุณสมบัติครบถ้วนตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ.2522 มาตรา 19 (1) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิก-สภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2535 มาตรา 12

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8459/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. กรณีจบการศึกษานอกระบบ: ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนเทียบเท่า ม.ปลายได้
ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ได้เข้าเรียนอยู่ในสถาบันการศึกษาอื่นในประเทศตามกำหนดเวลามาโดยตลอดจนมีความรู้ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าหรือรับรองว่าเทียบได้ไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ จึงมีคุณสมบัติครบถ้วนตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 19(1)ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับ 3) พ.ศ. 2535มาตรา 12

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8276/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน: เจตนาที่แท้จริงของผู้ให้ และขอบเขตการวินิจฉัยของศาล
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาจาก ป. ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยมีสิทธิอยู่อาศัยในที่ดินพิพาท มิได้อาศัยสิทธิของ ป. จำเลย ส.อ. และ ป.เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท แต่ให้ใส่ชื่อ ป.เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ขอยืมโฉนดที่ดินจาก ป.และจำเลยเพื่อนำไปเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินจากธนาคาร และเพื่อความสะดวกในการดำเนินการจึงเปลี่ยนชื่อในโฉนดจาก ป. มาใส่ชื่อโจทก์แทน คดีจึงมีประเด็นพิพาทเพียงว่า การที่ ป.ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่เท่านั้น ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ป.ไม่มีเจตนาจะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ เพียงแต่ต้องการให้โจทก์ยืมโฉนดไปจำนองเท่านั้น ผลจึงมีว่า ป.ไม่ได้ให้ที่ดินแก่โจทก์ คดีไม่มีประเด็นที่ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยว่า ป.แสดงเจตนายกให้ตอนที่ ป.เบิกความต่อศาลอีก การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต่อไปว่า ในการสืบพยาน ป.เบิกความว่า ป.เต็มใจที่จะยกที่ดินพิพาทให้โจทก์แสดงว่าหลังจากนั้น ป.ได้เปลี่ยนใจยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ ซึ่งปรากฏว่า ป.ได้จดทะเบียนยกให้แก่โจทก์แล้วตั้งแต่ตอนแรก จึงไม่จำต้องไปจดทะเบียนการให้อีกถือว่าการให้สมบูรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่ได้นั้น เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกประเด็นแห่งคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8276/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินต้องจดทะเบียน การให้ยืมโฉนดไม่ถือเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ ศาลวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาจากป.ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารจำเลยให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยมีสิทธิอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทมิได้อาศัยสิทธิของป.จำเลยส.อ.และป.เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทแต่ให้ใส่ชื่อป.เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ขอยืมโฉนดที่ดินจากป.และจำเลยเพื่อนำไปเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินจากธนาคารและเพื่อความสะดวกในการดำเนินการจึงเปลี่ยนชื่อในโฉนดจากป.มาใส่ชื่อโจทก์แทนคดีจึงมีประเด็นพิพาทเพียงว่าการที่ป.ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่เท่านั้นศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าป.ไม่มีเจตนาจะยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เพียงแต่ต้องการให้โจทก์ยืมโฉนดไปจำนองเท่านั้นผลจึงมีว่าป.ไม่ได้ให้ที่ดินแก่โจทก์คดีไม่มีประเด็นที่ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยว่าป.แสดงเจตนายกให้ตอนที่ป.เบิกความต่อศาลอีกการที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต่อไปว่าในการสืบพยานป.เบิกความว่าป.เต็มใจที่จะยกที่ดินพิพาทให้โจทก์แสดงว่าหลังจากนั้นป.ได้เปลี่ยนใจยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ซึ่งปรากฏว่าป.ได้จดทะเบียนยกให้แก่โจทก์แล้วตั้งแต่ตอนแรกจึงไม่จำต้องไปจดทะเบียนการให้อีกถือว่าไม่สมบูรณ์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่ได้นั้นเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกประเด็นแห่งคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8271/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจฟ้องคดี ค่าอากรแสตมป์ การมอบอำนาจครั้งเดียว
ข้อความในหนังสือมอบอำนาจ ระบุว่า โจทก์มอบอำนาจให้ ธ. ฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแพ่งเรียกค่าสินไหมทดแทนค่าปลงศพและค่าซ่อมรถจากกรณีรถชน แม้จะมีข้อความด้วยว่า ให้มีอำนาจเป็นผู้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ถ้อยคำถอนคำร้องทุกข์ มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีและเข้าเป็นโจทก์ร่วมในชั้นศาล มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลได้ทุกประการรวมทั้งให้มีอำนาจดำเนินการไปในทางจำหน่ายสิทธิของโจทก์ได้ด้วย เช่น การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความการสละสิทธิหรือการใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาหรือในการขอ ให้พิจารณาคดีใหม่ และให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี มีสิทธิรับเงิน เอกสารหรือสิ่งของอื่น ๆ ไปจากศาลหรือเจ้าพนักงานศาล มีอำนาจแต่ตั้งทนายความและหรือแต่งตั้งตัวแทนช่วงดำเนินการตามกฎหมายเพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นก็ตาม แต่การกระทำต่าง ๆเหล่านี้ก็เป็นการกระทำเกี่ยวกับเรื่องการเรียกค่าสินไหมทดแทนค่าปลงศพ และค่าซ่อมรถจากกรณีรถชนและแม้จะมีข้อความให้ดำเนินการในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนอยู่ด้วยก็เป็นการกระทำในเรื่องเดียวกันเกี่ยวกับกรณีรถชนดังกล่าวจึงเป็นมอบอำนาจให้กระทำการครั้งเดียวต้องปิดอากรแสตมป์เพียง 10 บาท
of 57