คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 565 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2512/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สละสิทธิสัญญาซื้อขาย: การยอมรับสิ่งของและการไม่บอกเลิกสัญญา
จำเลยได้ทำผิดสัญญาซื้อขายสิ่งของเนื่องจากไม่นำหนังสือรับรองสินค้าเข้า (Import Entry) มาแสดง แม้จำเลยได้ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์จนถูกต้องครบถ้วนก่อนกำหนดแล้วก็ตาม แต่โจทก์ยังคงครอบครองสิ่งของที่จำเลยส่งมอบให้ตลอดมา โดยมิได้บอกปัดว่าจะไม่รับสิ่งของ และให้จำเลยรับสิ่งของนั้นคืนไป หรือดำเนินการบอกเลิกสัญญาในเวลาอันควร เพิ่งมาบอกเลิกสัญญาหลังจากที่จำเลยส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายแล้วถึง 6 ปีเศษ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ได้สละผลบังคับตามสัญญาซื้อขายสิ่งของโดยปริยายแล้ว โจทก์จึงหาอาจยกเอาข้อที่จำเลยไม่นำหนังสือรับรองสินค้าเข้ามาแสดง มาเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาและเรียกร้องค่าปรับจากจำเลยได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2512/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิเรียกร้องค่าปรับจากการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาซื้อขาย เนื่องจากการยอมรับมอบสินค้าและครอบครองไว้นาน
จำเลยได้ทำผิดสัญญาซื้อขายสิ่งของเนื่องจากไม่นำหนังสือรับรองสินค้าขาเข้า(ImportEmtry)มาแสดงแม้จำเลยได้ส่งมอบสิ่งของให้แก่โจทก์จนถูกต้องครบถ้วนก่อนกำหนดแล้วก็ตามแต่โจทก์ยังคงครอบครองสิ่งของที่จำเลยส่งมอบให้ตลอดมาโดยมิได้บอกปัดว่าจะไม่รับสิ่งของและให้จำเลยรับสิ่งของนั้นคืนไปหรือดำเนินการบอกเลิกสัญญาในเวลาอันควรเพิ่งมาบอกเลิกสัญญาหลังจากที่จำเลยส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายแล้วถึง6ปีเศษพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ได้สละผลบังคับตามสัญญาซื้อขายสิ่งของโดยปริยายแล้วโจทก์จึงหาอาจยกเอาข้อที่จำเลยไม่นำหนังสือรับรองสินค้าเข้ามาแสดงมาเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาและเรียกร้องค่าปรับจากจำเลยได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2381/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทนายความในการลงชื่อฟ้องแทนโจทก์ & การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น & ประเด็นข้อพิพาทที่มิได้ว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์
โจทก์มอบอำนาจให้ น. ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเช็คตามฟ้องทั้งสามฉบับ น. ผู้รับมอบอำนาจย่อมมีอำนาจตั้งทนายความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา60วรรคสองเมื่อ น. แต่งตั้งให้ อ. เป็นทนายความและทนายความที่คู่ความได้ตั้งแต่งนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา62บัญญัติให้มีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆแทนคู่ความได้ตามที่เห็นสมควรซึ่งการยื่นฟ้องคดีต่อศาลก็เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกระบวนพิจารณาทนายความที่คู่ความตั้งแต่งจึงมีอำนาจลงชื่อในคำฟ้องได้และการลงชื่อในคำฟ้องของทนายความนี้หาได้มีบทบัญญัติให้ต้องมีข้อความในคำฟ้องว่าเป็นการลงชื่อแทนคู่ความหรือในฐานะทนายความแต่อย่างใด การที่คู่ความฝ่ายใดยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นอ้างและมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา24มิได้บัญญัติให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเฉพาะในกรณีที่ศาลเห็นว่าการวินิจฉัยชี้ขาดนั้นเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายที่ยกข้อกฎหมายขึ้นอ้างและมีคำขอเท่านั้นแม้ศาลจะเห็นว่าการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายไม่เป็นคุณแก่คู่ความตามที่มีคำขอศาลก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายไปในทางที่ไม่เป็นคุณแก่คู่ความนั้นได้ โจทก์เอาดอกเบี้ยเกินอัตรารวมไว้ในเช็คหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงแม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและมิได้ยกขึ้นวินิจฉัยจำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อนี้ขึ้นมาจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาในศาลอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2381/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทนายความในการลงชื่อฟ้องคดี และอำนาจศาลในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้น
โจทก์มอบอำนาจให้ น.ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเช็คตามฟ้องทั้งสามฉบับ น.ผู้รับมอบอำนาจย่อมมีอำนาจตั้งทนายความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 60 วรรคสอง เมื่อ น.แต่งให้ อ.เป็นทนายความ และทนายความที่คู่ความได้ตั้งแต่งนี้ ป.วิ.พ. มาตรา 62 บัญญัติให้มีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนคู่ความได้ตามที่เห็นสมควร ซึ่งการยื่นฟ้องคดีต่อศาลก็เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินกระบวนพิจารณา ทนายความที่คู่ความตั้งแต่งจึงมีอำนาจลงชื่อในคำฟ้องได้ และการลงชื่อในคำฟ้องของทนายความนี้ หาได้มีบทบัญญัติให้ต้องมีข้อความในคำฟ้องว่าเป็นการลงชื่อแทนคู่ความหรือในฐานะทนายความแต่อย่างใด
การที่คู่ความฝ่ายใดยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นอ้างและมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายนั้น ป.วิ.พ. มาตรา 24 มิได้บัญญัติให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเฉพาะในกรณีที่ศาลเห็นว่า การวินิจฉัยชี้ขาดนั้นเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายที่ยกข้อกฎหมายขึ้นอ้างและมีคำขอเท่านั้น แม้ศาลจะเห็นว่าการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายไม่เป็นคุณแก่คู่ความตามที่มีคำขอ ศาลก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายไปในทางที่ไม่เป็นคุณแก่คู่ความนั้นได้
โจทก์เอาดอกเบี้ยเกินอัตรารวมไว้ในเช็คหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้ แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและมิได้ยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อนี้ขึ้นมา จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาในศาลอุทธรณ์ เป็นการไม่ชอบตามป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2379/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความแตกต่างของเครื่องหมายการค้า: การพิจารณาความลวงสาธารณชน, ลักษณะเครื่องหมาย, และการใช้สินค้า
เครื่องหมายการค้าของจำเลยประกอบด้วยอักษรโรมันคำว่า"Madam Cook" กับอักษรไทยคำว่า "มาดามกุ๊ก" เป็นคำ 3 พยางค์ โดยอักษรโรมันอยู่ด้านบนของอักษรไทย และอักษรไทยมีขนาดเล็กกว่าอักษรโรมันเล็กน้อยส่วนเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นอักษรไทยคำว่า "กุ๊ก" และอักษรโรมันคำว่า"COOK" พยางค์เดียว และอักษรไทยคำว่า "กุ๊ก" เป็นอักษรตัวขนาดใหญ่กว่าอักษรโรมัน อักษรโรมันวางอยู่บนพยัญชนะ "ก" ตัวที่ 2 ในระดับเดียวกันกับวรรณยุกต์ไม้ตรี เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่เป็นอักษรไทยและอักษรโรมันเป็นอักษรประดิษฐ์และอักษรโรมันคำว่า "Madam Cook" ใช้อักษรตัวพิมพ์เล็ก คงใช้ตัวพิมพ์ใหญ่เฉพาะตัวอักษร "M" และ "C" ส่วนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทั้งอักษรไทยและอักษรโรมันเป็นอักษรธรรมดามิใช่อักษรประดิษฐ์ อักษรโรมันคำว่า"COOK"" ใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด ลักษณะเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยจึงแตกต่างกัน แม้เครื่องหมายการค้าของจำเลยจะมีคำว่า "กุ๊ก" และคำว่า "Cook" เป็นสาระสำคัญส่วนหนึ่งในเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นคำเดียวกับคำในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ก็ตาม แต่คำดังกล่าวก็เป็นคำสามัญทั่ว ๆ ไปมิใช่คำประดิษฐ์ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้อื่นใช้คำดังกล่าว และเครื่องหมาย-การค้าของทั้งโจทก์และจำเลยก็มีเสียงเรียกขานแตกต่างกัน โดยของโจทก์เรียกว่า "กุ๊ก" ส่วนของจำเลยเรียกว่า "มาดามกุ๊ก" การจัดตัวอักษรในเครื่องหมายการค้าของจำเลยก็เป็นไปตามปกติธรรมดา โดยเครื่องหมายการค้าของจำเลยที่เป็นอักษรโรมันคำว่า "Madam" มีขนาดเดียวกันกับคำว่า "Cook"อันเป็นการให้ความสำคัญในถ้อยคำแต่ละพยางค์เท่าเทียมกัน มิได้จัดให้อักษรคำว่า"Cook" หรือ "กุ๊ก" มีขนาดใหญ่หรือเน้นให้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษเพื่อเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ทั้งสินค้าที่โจทก์ผลิตออกจำหน่ายในท้องตลาดภายใต้เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีเพียงชนิดเดียวคือสินค้าน้ำมันพืชและเน้นเครื่องหมายการค้าโดยใช้ตัวอักษรสีแดงสด ส่วนจำเลยแม้จะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในจำพวกที่ 42 รายการสินค้าทั้งจำพวกซึ่งรวมถึงสินค้าน้ำมันพืชด้วย แต่จำเลยก็ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับอาหารสำเร็จรูปที่จำเลยผลิตขึ้น ได้แก่ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย หูฉลามน้ำแดงเปรี้ยวหวานอาหารทะเล ปลากระพงน้ำแดง โดยใช้เครื่องหมายการค้าเป็นอักษรโรมันว่า "Madam Cook" และส่งออกไปขายยังต่างประเทศ มิได้ผลิตขายในประเทศไทย ทั้งอักษรโรมันคำว่า "Madam Cook" บนซองบรรจุอาหารสำเร็จรูปก็มีลักษณะตรงกับที่จำเลยจดทะเบียนไว้ มิได้จัดตัวอักษรหรือใช้สีสันหรือกระทำการใดอันเป็นการเน้นคำว่า "Cook" แต่อย่างใด แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาไม่สุจริตที่จะทำให้สาธารณชนหลงผิดหรือลวงขายสินค้าของตนให้เข้าใจว่าเป็นสินค้าของโจทก์ เครื่องหมายการค้าของจำเลยมีลักษณะแตกต่างกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์อย่างชัดเจน เครื่องหมายการค้าของจำเลยจึงไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2323/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนเครื่องหมายการค้า 'COOL' เมื่อใช้เป็นคำทั่วไปหรือโฆษณาสรรพคุณสินค้า
ในเรื่องการเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามมาตรา 41 (2) แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่โจทก์อ้างว่าถูกโต้แย้งสิทธิบัญญัติว่า ทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นศาลอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนได้เมื่อผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องและแสดงได้ว่าเครื่องหมาย-การค้านั้นในบัดนี้เป็นสิ่งสามัญในการค้าขาย ปรากฏว่ามีสินค้าหลายชนิด เช่น น้ำยาปรับอุณหภูมิหม้อน้ำรถยนต์ ยาสระผม ยาสีฟัน น้ำยาฉีดเท้า น้ำยาหลังโกนหนวดใช้คำว่า COOL รวมอยู่กับถ้อยคำอื่นเพื่อต้องการบอกให้ผู้บริโภครู้ว่าเมื่อใช้สินค้านั้นแล้วจะเกิดความเย็นขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเพียงคำโฆษณาสรรพคุณของสินค้าเท่านั้น ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนคำว่า COOL ของจำเลยได้กลายเป็นสิ่งสามัญในการค้าขายไปแล้ว โจทก์จึงไม่อาจขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย
การที่นายทะเบียนจะสั่งให้ผู้ขอจดทะเบียนปฏิเสธว่าไม่ขอถือเป็นสิทธิของตนแต่ผู้เดียวที่จะใช้ส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนแห่งเครื่องหมายการค้านั้นมีได้ 2 กรณี คือ เมื่อเห็นว่าเครื่องหมายการค้านั้นมีสิ่งที่ใช้กันสามัญในการค้าขายหรือเครื่องหมายการค้านั้นมีลักษณะไม่บ่งเฉพาะว่าเป็นของสินค้านั้น ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะยื่นคำขอจดทะเบียน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2158/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและขอบเขตการอุทธรณ์ตามกฎหมาย
ขณะที่โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาทและจำเลยซึ่งเป็นนายทะเบียนมีคำสั่งปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้โจทก์เป็นระยะเวลาก่อนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2535 อันเป็นวันที่ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มีผลใช้บังคับ ดังนั้น การดำเนินการเกี่ยวกับคำขอของโจทก์ตลอดจนการอุทธรณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยของจำเลยจึงอยู่ในบังคับของบทบัญญัติ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ต่อไปจนกว่าจะถึงที่สุดตามมาตรา 119 (2) และมาตรา 121 แห่ง พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้าพ.ศ.2534 เมื่อคดีฟังได้ว่า ภายหลังจากที่จำเลยมีคำสั่งไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายพิพาทแล้ว โจทก์ได้ใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า และคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามีคำ-วินิจฉัยว่า เครื่องหมายการค้ารายพิพาทของโจทก์มีลักษณะคล้ายกับเครื่องหมาย-การค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้วจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งปฏิเสธของจำเลย และให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ ตามมาตรา 19 ตรี (1)แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ดังนั้น คำวินิจฉัยและคำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าในประเด็นที่ว่าเครื่องหมายการค้าอักษรไทยคำว่า "กรีนนัท" อักษรโรมันคำว่า "Greennut" ของโจทก์ตามคำขอเลขที่223913 เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วจนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนย่อมเป็นที่สุดตามมาตรา 19 เบญจ วรรคท้ายแห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อกฎหมายได้กำหนดวิธีการอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยหรือคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับกรณีนี้ไว้แล้ว โจทก์จะดำเนินการคัดค้านว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วโดยวิธีอื่น เช่น ฟ้องคดีต่อศาลอีกหาได้ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2108/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดเครื่องหมายการค้า: สิทธิของเจ้าของเครื่องหมายที่ไม่จดทะเบียน vs. ผู้จดทะเบียนภายหลัง
เครื่องหมายการค้าของโจทก์คำว่า BENIHANA กับเครื่องหมาย-การค้าจดทะเบียนของจำเลยคำว่า BENNI-HANA หากวิญญูชนไม่ได้สังเกตอย่างรอบคอบโดยถี่ถ้วนแล้ว ย่อมหลงผิดได้ว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยเป็นเครื่องหมายการค้าอย่างเดียวกัน โจทก์ได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ต่างประเทศมาก่อนจำเลยจะได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยนานนับสิบปี โดยใช้กับสินค้าอาหารประเภทเนื้อ ปลา เป็ด ไก่ และผักและโจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นชื่อโรงแรมและภัตตาคารที่โจทก์เปิดบริการอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยได้มีโอกาสเห็นเครื่องหมายการค้าคำว่า BENIHANA ของโจทก์ที่ต่างประเทศมาก่อน แล้วนำมาเป็นแนวประดิษฐ์คำขึ้นใหม่ว่า BENNI-HANA การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า BENIHANA ของโจทก์และคำว่า BENNI-HANAที่จำเลยได้รับการจดทะเบียนดีกว่าของจำเลย แม้จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมาย-การค้าของจำเลยไว้แล้วและโจทก์ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในประเทศไทย โจทก์ก็ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 มาตรา 41 (1)ซึ่งเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้อยู่ขณะที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ
โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าจำพวกที่ 42 ประเภทอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งซึ่งประกอบด้วยเนื้อ เป็ด ไก่ ปลา และผัก เช่นเดียวกับสินค้าที่ใช้มานานในต่างประเทศ แม้สินค้าดังกล่าวจะแตกต่างกับสินค้าของจำเลยซึ่งเป็นลูกกวาด ขนมปังกรอบ ขนมปังช็อกโกแล็ตและนม แต่สินค้าของจำเลยอยู่ในจำพวกที่ 42 และถือได้ว่าเป็นสินค้าประเภทอาหารด้วย ผู้ซื้อสินค้าดังกล่าวทั้งหมดอาจเข้าใจผิดว่าเป็นสินค้าที่ผลิตโดยผู้ผลิตรายเดียวกัน เป็นการที่จำเลยใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยโดยไม่สุจริต โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้
โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนในประเทศไทย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ลวงขายสินค้าของจำเลยต่อสาธารณชนว่าเป็นสินค้าของโจทก์ กรณีจึงไม่อาจบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายตามมาตรา 29 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดข้อพิพาทได้
แม้โจทก์จะมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลย แต่เครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่ได้รับการจดทะเบียน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ห้ามจำเลยมิให้ใช้เครื่องหมายการค้านั้น อันเป็นการฟ้องคดีเพื่อป้องกันการล่วงสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ไม่จดทะเบียนได้ เพราะต้องห้ามตามมาตรา 29 วรรคแรกแห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว กรณีจึงไม่อาจบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ให้ห้ามจำเลยดังกล่าวได้
โจทก์มิได้ฟ้องนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นจำเลยจึงไม่อาจพิพากษาบังคับนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามคำขอของโจทก์ได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้อ้างในชั้นฎีกาแต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246และ 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2108/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเครื่องหมายการค้า: การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และการเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้า
เครื่องหมายการค้าที่โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้และของจำเลยที่ได้รับการจดทะเบียนไว้มีคำในอักษรโรมันและอักษรไทยรวมทั้งสำเนียงเรียกขานคล้ายคลึงกันมากหากไม่ได้สังเกตอย่างรอบคอบโดยถี่ถ้วนย่อมหลงผิดได้ว่าเป็นเครื่องหมายการค้าอย่างเดียวกันเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยต่างเป็นคำที่ประดิษฐ์ขึ้นเองโดยไม่มีคำแปลจึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าขึ้นเองจนคล้ายคลึงกับของโจทก์ซึ่งใช้มาก่อนโดยไม่ได้เจตนาการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลยแม้จำเลยจะจดทะเบียนไว้แล้วและโจทก์ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนในประเทศไทยโจทก์ก็ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474มาตรา41(1) โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าจำพวกที่42ประเภทอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งซึ่งประกอบด้วยเนื้อเป็ดไก่ปลาและผักแม้จะแตกต่างกับสินค้าของจำเลยซึ่งเป็นลูกกวาดขนมปังกรอบขนมปังช็อกโกแล็ตและนมแต่ก็อยู่ในจำพวกที่42และถือว่าเป็นสินค้าประเภทอาหารด้วยผู้ซื้อสินค้าอาจเข้าใจผิดว่าเป็นสินค้าที่ผลิตโดยผู้ผลิตรายเดียวกันได้ถือว่าจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยโดยไม่สุจริต โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนในประเทศไทยเมื่อไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าจำเลยได้ลวงขายสินค้าของจำเลยต่อสาธารณชนว่าเป็นของโจทก์จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายตามมาตรา29วรรคสองได้ แม้โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยแต่เมื่อยังไม่ได้รับการจดทะเบียนจึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ห้ามจำเลยมิให้ใช้เครื่องหมายการค้านั้นตามมาตรา29วรรคแรกทั้งโจทก์มิได้ฟ้องนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าด้วยจึงไม่อาจพิพากษาบังคับนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ได้และเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5),246และ247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1986/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีประกันภัย: การรับช่วงสิทธิและข้อยกเว้นการใช้บังคับอายุความละเมิด
โจทก์ รับช่วงสิทธิของ ผู้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยที่จำเลยทำไว้กับผู้เอาประกันภัยของจำเลยจึงเป็นการฟ้องในมูล สัญญาประกันภัยมิใช่มูลละเมิด อายุความฟ้องคดีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา882วรรคแรกคือ2ปีซึ่งใช้บังคับถึงกรณีที่บุคคลผู้ต้องเสียหายจากการกระทำของผู้เอาประกันภัยฟ้องร้องผู้รับประกันภัยด้วย
of 57