พบผลลัพธ์ทั้งหมด 144 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานขายและมีไว้เพื่อขายยาเสพติดเป็นกรรมเดียว ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขโทษ
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา4บัญญัตินิยามคำว่า"ขาย"หมายความรวมถึงจำหน่ายจ่ายแจกแลกเปลี่ยนส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขายฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายจึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันการที่จำเลยขาย เมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับจำนวน4เม็ดและต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันค้นพบได้ที่ตัวจำเลยจำนวน60เม็ดกับในห้องพักของจำเลยอีกจำนวน1,100เม็ดเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสามจำนวนถือเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวคือการขายนั่นเองแม้จำเลยให้การรับสารภาพว่าขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนเป็นสองกรรมตามฟ้องแต่กรณีนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา225ประกอบกับมาตรา195วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานขายและมีเมทแอมเฟตามีนครอบครองเพื่อขายเป็นกรรมเดียว ศาลฎีกายกเหตุผลที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์วินิจฉัยผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและฐานขาย เมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ในประเภท2ซึ่ง พระราชบัญญัติ วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518มาตรา13ทวิบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดผลิตขายนำเข้าหรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2และมีบทกำหนดโทษตามมาตรา89กับมาตรา62วรรคหนึ่งบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ใดๆซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ทุกประเภทและมีบทกำหนดโทษตามมาตรา106ทวิและมาตรา4ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า"ขาย"ว่าหมายความรวมถึงจำหน่ายจ่ายแจกแลกเปลี่ยนส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขายฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายจึงเป็นความผิดอย่างเดียวกัน การที่จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ สายลับจำนวน4เม็ดต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันค้นพบได้ในตัวจำเลยจำนวน60เม็ดและค้นได้ในห้องพักของจำเลยอีกจำนวน1,100เม็ดเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสามจำนวนจึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกันการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิด กรรมเดียว คือการขายนั่นเองจำเลยหาได้มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน1,160เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อขายอีกกรรมหนึ่งแต่อย่างใดไม่แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องว่าขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนเป็น2กรรมก็ตามแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา225ประกอบมาตรา195วรรคสองที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเป็นอีกกรรมหนึ่งจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขายจำนวน1,160เม็ดนั้นก็คือการฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวให้หนักขึ้นนั่นเองเมื่อความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน4เม็ดให้แก่สายลับกับความผิดฐานเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน1,160เม็ดที่ยึดได้ในภายหลังเป็นความผิดกรรมเดียวกันศาลฎีกากำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่รูปคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวความผิดเดียว: การขายและมีไว้เพื่อขายยาเสพติด เมทแอมเฟตามีน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและฐานขายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ในประเภท 2ซึ่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2และมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 89 กับมาตรา 62 วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ใด ๆ ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ทุกประเภท และมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 106 ทวิ และมาตรา 4 ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า"ขาย" ว่า หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขาย ฉะนั้นการขายหรือมีไว้เพื่อขายจึงเป็นความผิดอย่างเดียวกัน
การที่จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับจำนวน 4 เม็ดต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันค้นพบได้ในตัวจำเลยจำนวน 60 เม็ด และค้นได้ในห้องพักของจำเลยอีกจำนวน 1,100 เม็ด เมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสามจำนวนจึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดกรรมเดียว คือการขายนั่นเอง จำเลยหาได้มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,160 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อขายอีกกรรมหนึ่งแต่อย่างใดไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องว่าขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนเป็น 2 กรรม ก็ตามแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเป็นอีกกรรมหนึ่งจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขายจำนวน 1,160 เม็ด นั้น ก็คือการฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวให้หนักขึ้นนั่นเอง เมื่อความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 4 เม็ด ให้แก่สายลับกับความผิดฐานเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,160 เม็ด ที่ยึดได้ในภายหลัง เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ศาลฎีกากำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่รูปคดีได้
การที่จำเลยขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับจำนวน 4 เม็ดต่อมาในเวลาใกล้เคียงกันค้นพบได้ในตัวจำเลยจำนวน 60 เม็ด และค้นได้ในห้องพักของจำเลยอีกจำนวน 1,100 เม็ด เมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งสามจำนวนจึงเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดกรรมเดียว คือการขายนั่นเอง จำเลยหาได้มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,160 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อขายอีกกรรมหนึ่งแต่อย่างใดไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องว่าขายและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนเป็น 2 กรรม ก็ตามแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยเป็นอีกกรรมหนึ่งจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
การที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขายจำนวน 1,160 เม็ด นั้น ก็คือการฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวให้หนักขึ้นนั่นเอง เมื่อความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 4 เม็ด ให้แก่สายลับกับความผิดฐานเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,160 เม็ด ที่ยึดได้ในภายหลัง เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ศาลฎีกากำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยใหม่เพื่อให้เหมาะสมแก่รูปคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 70/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน – คดีข่มขืนกระทำชำเรา – ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
ผู้เสียหายเป็น ประจักษ์พยานเพียงปากเดียวและได้เบิกความว่าได้เล่าเรื่องที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายให้นาง อ.ร.และนาง อ.น. ฟังแตกต่างจากนาง อ.ร. และนาง อ.น. ที่เบิกความว่าผู้เสียหายมิได้เล่าเรื่องเช่นนั้นทำให้น่าสงสัยว่าผู้เสียหายถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราจริงหรือไม่พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังมี ข้อน่าสงสัยต้อง ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา227วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7494/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารประกอบคำให้การ, ค่าธรรมเนียม, และการต่อสู้คดี: ศาลรับฟังได้หากจำเลยไม่ได้จงใจหลีกเลี่ยง
เอกสารท้ายคำให้การที่จำเลยอ้างถึงในคำให้การถือเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การจึงไม่ต้องระบุอ้างเอกสารดังกล่าวในบัญชีระบุพยานอีก ศาลรับฟังได้
การที่จำเลยไม่เสียค่าอ้างเอกสารนั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่เสียและศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งเรียกเก็บ จึงมิใช่ความบกพร่องของจำเลย ไม่ควรยกเป็นเหตุไม่รับฟังเอกสาร
จำเลยให้การต่อสู้ใจความว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ตามฟ้อง ไม่เคยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ โจทก์บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่า เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิงและอ้างที่มาแห่งสัญญากู้เงินตามฟ้องว่ามีความเป็นมาอย่างไร เป็นคำให้การที่ชัดแจ้งไม่ขัดกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่เชื่อว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจึงมิใช่การวินิจฉัยนอกประเด็น
การที่จำเลยไม่เสียค่าอ้างเอกสารนั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่เสียและศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งเรียกเก็บ จึงมิใช่ความบกพร่องของจำเลย ไม่ควรยกเป็นเหตุไม่รับฟังเอกสาร
จำเลยให้การต่อสู้ใจความว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ตามฟ้อง ไม่เคยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ โจทก์บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่า เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิงและอ้างที่มาแห่งสัญญากู้เงินตามฟ้องว่ามีความเป็นมาอย่างไร เป็นคำให้การที่ชัดแจ้งไม่ขัดกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่เชื่อว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจึงมิใช่การวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7494/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีแพ่ง: เอกสารท้ายคำให้การ & การต่อสู้คดีไม่ขัดแย้ง
เอกสารท้ายคำให้การที่จำเลยอ้างถึงในคำให้การถือเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การจึงไม่ต้องระบุอ้างเอกสารดังกล่าวในบัญชีระบุพยานอีกศาลรับฟังได้ การที่จำเลยไม่เสียค่าอ้างเอกสารนั้นไม่ปรากฎว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่เสียและศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งเรียกเก็บ จึงมิใช่ความบกพร่องของจำเลย ไม่ควรยกเป็นเหตุไม่รับฟังเอกสาร จำเลยให้การต่อสู้ใจความว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ตามฟ้อง ไม่เคยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ โจทก์บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่า เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิงและอ้างที่มาแห่งสัญญากู้เงินตามฟ้องว่ามีความเป็นมาอย่างไรเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งไม่ขัดกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่เชื่อว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจึงมิใช่การวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7494/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารท้ายคำให้การเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การ ศาลรับฟังได้ แม้ไม่ได้ระบุในบัญชีระบุพยาน การวินิจฉัยประเด็นสัญญากู้เงินไม่นอกประเด็น
เอกสารท้ายคำให้การที่จำเลยอ้างถึงในคำให้การถือเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การจึงไม่ต้องระบุอ้างเอกสารดังกล่าวในบัญชีระบุพยานอีกศาลรับฟังได้ การที่จำเลยไม่เสียค่าอ้างเอกสารนั้นไม่ปรากฎว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่เสียและศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งเรียกเก็บจึงมิใช่ความบกพร่องของจำเลยไม่ควรยกเป็นเหตุไม่รับฟังเอกสาร จำเลยให้การต่อสู้ใจความว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ตามฟ้องไม่เคยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์โจทก์บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าเป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิงและอ้างที่มาแห่งสัญญากู้เงินตามฟ้องว่ามีความเป็นมาอย่างไรเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งไม่ขัดกันที่ศาลอุทธรณ์ภาค2ไม่เชื่อว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจึงมิใช่การวินิจฉัยนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7258/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมไม่เป็นฟ้องซ้ำ หากประเด็นข้อพิพาทต่างกัน แม้คดีก่อนเกี่ยวข้องกรรมสิทธิ์เดียวกัน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในที่พิพาทซึ่งได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดแล้ว จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครอง ขอให้ห้ามจำเลยกระทำการใด ๆบนที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า การจดทะเบียนให้ที่พิพาทซึ่งค.และจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างค. กับโจทก์ ไม่ชอบด้วยกฎหมายและว่าไม่เคยมีการแบ่งแยกการครอบครอง จึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า การจดทะเบียนให้ระหว่าง ค. กับโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และได้มีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดหรือไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมที่พิพาทจากจำเลย ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมหรือไม่ประเด็นแห่งคดีทั้งสองจึงต่างกัน เหตุที่นำมาวินิจฉัยคนละเหตุจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6593/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นเดียวกันเคยถูกวินิจฉัยแล้วในคดีก่อน ศาลไม่รับฟ้อง
จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์คดีนี้ออกจากที่ดินพิพาทต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมว่า โจทก์ตกลงเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลย จำเลยตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืน หากไม่ซื้อภายในกำหนดยอมออกไปจากที่ดินพิพาทหากผิดสัญญายินยอมให้โจทก์บังคับคดีโดยจำเลยยอมออกจากที่ดินพิพาทคดีถึงที่สุด ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่ง ดังนี้ การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีใหม่ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นนั้นอีก เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำและฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6593/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ: สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่ความ ศาลยกฟ้อง
คดีเดิมจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยแล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน คดีถึงที่สุด คำพิพากษาตามยอมจึงผูกพันคู่ความ หากคู่ความไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความคู่ความชอบที่จะขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ซึ่งคดีเดิมโจทก์เคยยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยเจตนาไม่ขายที่ดินพิพาท ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ยกคำร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่ง แต่กลับมายื่นฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ ดังนี้คำร้อง ของ โจทก์ในคดีก่อนและคำฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงมีประเด็นแห่งคดีอย่างเดียวกัน คือให้วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ คู่ความทั้งสองฝ่ายก็เป็นรายเดียวกันศาลชั้นต้นเคยวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีก่อนไปแล้วคำฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ และฟ้องซ้ำด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง