คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ผล อนุวัตรนิติการ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 667 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2899/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาที่จะฟ้องคดีก่อนการโอนทรัพย์สิน: ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
ก่อนที่จำเลยจะโอนขายที่ดินให้ผู้อื่น โจทก์มิได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงิน อันเป็นการแสดงว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยังไม่คิดจะฟ้องคดีให้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 จึงยังไม่เกิดขึ้น และในกรณีเช่นนี้แม้จำเลยเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ก็หาทำให้ผลการกระทำของจำเลย อันไม่เป็นความผิดเปลี่ยนแปลงไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การผลิตและมีไว้เพื่อขายวัตถุออกฤทธิ์ แม้แยกฟ้องเป็นข้อๆ ก็ตาม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยผลิตอีเฟดรีนชนิดเม็ดและเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันส่วนอีเฟดรีนชนิดผงนั้น แม้โจทก์จะแยกฟ้องมาเป็นอีกข้อหนึ่งต่างหากเพื่อให้เห็นว่าเป็นคนละจำนวนกับอีเฟดรีนที่จำเลยผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายก็ตามแต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีอีเฟดรีนชนิดผงดังกล่าวไว้เพื่อใช้ในการผลิตเพื่อขายนั่นเอง ทั้งเป็นอีเฟดรีนที่เจ้าพนักงานตำรวจพบในเวลาและสถานที่เดียวกันกับอีเฟดรีนชนิดเม็ดและเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยผลิต จึงถือได้ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เชื่อมโยงกัน
ตามฟ้องข้อ 1 (ก) โจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันผลิตอีเฟดรีนจำนวน 1,770 เม็ด หนัก 157 กรัม และเมทแอมเฟตามีนจำนวน 31 เม็ด หนัก 2.7 กรัม ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ส่วนอีเฟดรีนชนิดผงจำนวน 2 ถุง น้ำหนัก 74 กรัม แม้โจทก์จะแยกฟ้องมาเป็นฟ้องข้อ 1 (ข) เพื่อให้เห็นว่าเป็นคนละจำนวนกับอีเฟดรีนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายตามฟ้องข้อ 1 (ก) แต่โจทก์ก็บรรยายว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีอีเฟดรีนชนิดผงดังกล่าวไว้เพื่อใช้ในการผลิตเพื่อขายนั่นเอง ทั้งเป็นอีเฟดรีนที่เจ้าพนักงานตำรวจพบในเวลาและสถานที่เดียวกันกับอีเฟดรีนและเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยผลิตในฟ้องข้อ 1 (ก) จึงถือได้ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องยาเสพติดไม่จำเป็นต้องอ้างประกาศกระทรวงสาธารณสุข หากคำฟ้องระบุชัดเจนว่าเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมี เมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1 ตามกฎหมายจำนวน1,030 เม็ด น้ำหนัก 95.736 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้17.041 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายโดยขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไป 2 เม็ด แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 160 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตรงตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่งย่อมมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่า ไม่ว่ากรณีใด ๆ เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และจำเลยได้ทราบว่าเมทแอมเฟตามีนนั้นเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โจทก์ยังบรรยายฟ้องต่อท้ายข้อความที่ว่า "ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1" ด้วยข้อความว่า "ตามกฎหมาย" อันเป็นการกล่าวย้ำ ข้อความที่กล่าวมาก่อน คำฟ้องโจทก์จึงมีรายละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีและชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว โจทก์ไม่จำต้องระบุอ้างถึงประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวรวมทั้งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจำเลยได้ทราบประกาศดังกล่าวแล้วด้วยไม่
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135(พ.ศ. 2539)เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2539 และประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ประกาศข้างต้นจึงมีผลบังคับเช่นกฎหมาย ทั้งจำเลยไม่อาจแก้ตัวได้ว่า จำเลยไม่ทราบประกาศนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมียาเสพติดไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายและการซื้อขายยาเสพติดประเภท 1 จำเลยต้องทราบประกาศกระทรวงสาธารณสุข
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1 ตามกฎหมายจำนวน 1,030 เม็ด น้ำหนัก 95.736กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 17.041 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายโดยขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไป 2 เม็ด แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา160 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตรงตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 66 วรรคหนึ่ง ย่อมมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่า ไม่ว่ากรณีใด ๆเมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และจำเลยได้ทราบว่าเมทแอมเฟตามีนนั้นเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โจทก์ยังบรรยายฟ้องต่อท้ายข้อความที่ว่า "ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1" ด้วยข้อความว่า"ตามกฎหมาย" อันเป็นการกล่าวย้ำ ข้อความที่กล่าวมาก่อน คำฟ้องโจทก์จึงมีรายละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีและชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158 (5)แล้ว โจทก์ไม่จำต้องระบุอ้างถึงประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวรวมทั้งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจำเลยได้ทราบประกาศดังกล่าวแล้วด้วยไม่
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษ ตามความใน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2539 และประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไปประกาศข้างต้นจึงมีผลบังคับเช่นกฎหมาย ทั้งจำเลยไม่อาจแก้ตัวได้ว่า จำเลยไม่ทราบประกาศนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2748/2543

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การข่มขืนใจทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้ลงลายมือชื่อสัญญา และการกรรโชกทรัพย์
จำเลยที่ 1 ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายเพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ 2 พูดกับผู้เสียหายว่า คิดจะโกงหรืออย่ามาเล่นกับฉันนะ ในขณะที่จำเลยที่ 1 กระชากคอเสื้อผู้เสียหายอยู่และต่อมาจำเลยที่ 1 ต่อยที่บริเวณหางคิ้วซ้ายผู้เสียหายจนบาดเจ็บเลือดออกและพูดกับผู้เสียหายว่าให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงิน มิฉะนั้นจะเจ็บตัวอีก ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินก่อให้เกิดสิทธิในหนี้ซึ่งมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินแก่ผู้ให้กู้จึงเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแก่ผู้ให้กู้เมื่อจำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งสัญญากู้เงินจากการข่มขืนใจโดยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้เงินจากจำเลยที่ 2 อันเป็นการได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน จึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดฐานกรรโชกและทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนใจทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้ลงนามในสัญญากู้เงิน ถือเป็นกรรโชกและทำร้ายร่างกาย
จำเลยที่ 1 ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายเพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ 2พูดกับผู้เสียหายว่า คิดจะโกงหรือ อย่ามาเล่นกับฉันนะ ในขณะที่ จำเลยที่ 1 กระชากคอเสื้อผู้เสียหายอยู่ และต่อมาจำเลยที่ 1 ต่อยที่ บริเวณหางคิ้วซ้ายผู้เสียหายจนบาดเจ็บเลือดออก และพูดกับผู้เสียหาย ว่าให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงิน มิฉะนั้นจะเจ็บตัวอีก ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และร่วมกัน ข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินก่อให้เกิดสิทธิในหนี้ซึ่งมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินแก่ผู้ให้กู้ จึงเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแก่ผู้ให้กู้ เมื่อจำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งสัญญากู้เงินจากการข่มขืนใจโดยทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้เงินจากจำเลยที่ 2 อันเป็นการได้ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแล้วจึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดฐานกรรโชก และทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรโชกทรัพย์และทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้ลงนามในสัญญากู้เงิน ถือเป็นตัวการร่วมกัน
จำเลยที่ 1 ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายเพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ 2พูดกับผู้เสียหายว่า คิดจะโกงหรืออย่ามาเล่นกับฉันนะ ในขณะที่จำเลยที่ 1กระชากคอเสื้อผู้เสียหายอยู่และต่อมาจำเลยที่ 1 ต่อยที่บริเวณหางคิ้วซ้ายผู้เสียหายจนบาดเจ็บเลือดออกและพูดกับผู้เสียหายว่าให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงิน มิฉะนั้นจะเจ็บตัวอีก ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินก่อให้เกิดสิทธิในหนี้ซึ่งมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินแก่ผู้ให้กู้จึงเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแก่ผู้ให้กู้ เมื่อจำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งสัญญากู้เงินจากการข่มขืนใจโดยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้เงินจากจำเลยที่ 2 อันเป็นการได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินจึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดฐานกรรโชกและทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2629/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาที่ไม่ชอบ และอำนาจศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวเนื่องกับความสงบเรียบร้อย
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยแถลงรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงตามฟ้อง คู่ความประสงค์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ขอเลื่อนไปเจรจาในรายละเอียดอีกครั้ง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือฟังคำพิพากษาก็เพราะเห็นว่าถ้าคู่ความไม่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความก็พิพากษาคดีไปได้โดยไม่ต้องมีการสืบพยาน วันที่เลื่อนมาจึงไม่ใช่วันนัดสืบพยานโจทก์ เมื่อทนายจำเลยไม่มาศาล แต่ศาลชั้นต้นกำหนดเอาเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันนั้นเอง แล้วมีคำสั่งให้จำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจำเลยไม่ทราบล่วงหน้า เป็นการพิจารณาโดยขาดนัดที่ไม่ชอบและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นโดยให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบนั้นได้
of 67