คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ผล อนุวัตรนิติการ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 667 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำนองและดอกเบี้ยทบต้น: สิทธิเรียกดอกเบี้ยของเจ้าหนี้จำนองตามสัญญาและข้อตกลง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา715ทรัพย์สินซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์คือดอกเบี้ยด้วยและตามสัญญาจำนองระบุว่าผู้จำนองตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ15ต่อปีโดยส่งดอกเบี้ยเดือนละครั้งการคิดดอกเบี้ยให้คิดทบต้นตามวิธีการของธนาคารข้อตกลงอื่นๆให้เป็นไปตามสัญญาต่อท้ายและให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจำนองซึ่งตามสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองกำหนดว่าผู้จำนองยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15ต่อปีในจำนวนเงินทั้งสิ้นที่ผู้จำนองเป็นหนี้เงินดอกเบี้ยนี้จะได้คิดในยอดเงินคงเหลือประจำวันและผู้จำนองยอมส่งดอกเบี้ยทุกๆเดือนเสมอไปหากผิดนัดชำระดอกเบี้ยที่กล่าวนี้ยอมให้ผู้รับจำนองคำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นในบัญชีของผู้จำนองด้วยโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราดังกล่าวได้ตามข้อตกลงในสัญญาจำนองดังกล่าวเมื่อดอกเบี้ยที่ค้างชำระได้ถูกทบเข้าเป็นต้นเงินเสียแล้วจึงไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระเกินกว่า5ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยทบต้นจำนอง: สิทธิคิดดอกเบี้ยตามสัญญา, ข้อจำกัดระยะเวลา, และความรับผิดของผู้ซื้อจำนอง
ตามสัญญาจำนองกำหนดว่าผู้จำนองตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ15ต่อปีโดยส่งดอกเบี้ยเดือนละครั้งและให้คิดทบต้นตามวิธีการของธนาคารโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราดังกล่าวได้เมื่อดอกเบี้ยที่ค้างชำระได้ถูกทบเข้าเป็นต้นเงินแล้วจึงไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระเกินกว่า5ปีเมื่อหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของว. อันเป็นหนี้ประธานที่จำเลยจำนองเป็นประกันอยู่โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากว. ลูกหนี้ได้เพียงถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาความรับผิดตามสัญญาจำนองจึงเป็นอย่างเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการใช้ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญาในคดีแพ่ง: ประเด็นสำคัญ vs. ประเด็นปลีกย่อย
ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 46 ที่บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญานั้นหมายถึง ข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงซึ่งเป็นประเด็นสำคัญและศาลต้องฟังยุติมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่ประเด็นปลีกย่อย สำหรับคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ได้บุกรุกเข้าไปปลูกสร้างเรือนในที่ดินพิพาท สำหรับคดีแพ่งคดีนี้ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามได้เพียงว่าจำเลยที่ 2 ได้บุกรุกที่ดินพิพาทจริง ส่วนปัญหาที่ว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ 2บุกรุกเนื้อที่เท่าไร เป็นไปตามคำพิพากษาคดีอาญาหรือตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องคดีนี้ เป็นเพียงข้อปลีกย่อยในรายละเอียดที่จะต้องนำสืบกันอีกในชั้นพิจารณา ซึ่งโจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยที่ 2 จะต้องสืบพยานในประเด็นนี้กันต่อไปอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการถือข้อเท็จจริงจากคดีอาญาในคดีแพ่ง: การบุกรุกที่ดิน - เนื้อที่พิพาทต้องสืบพยานเพิ่มเติม
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46ที่บัญญัติว่าในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาส่วนอาญานั้นหมายถึงข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงซึ่งเป็นประเด็นสำคัญและศาลต้องฟังยุติมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วไม่ใช่ประเด็นปลีกย่อยสำหรับคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่2ได้บุกรุกเข้าไปปลูกสร้างเรือนในที่ดินพิพาทสำหรับคดีแพ่งคดีนี้ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามได้เพียงว่าจำเลยที่2ได้บุกรุกที่ดินพิพาทจริงส่วนปัญหาที่ว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยที่2บุกรุกเนื้อที่เท่าไรเป็นไปตามคำพิพากษาคดีอาญาหรือตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องคดีนี้เป็นเพียงข้อปลีกย่อยในรายละเอียดที่จะต้องนำสืบกันอีกในชั้นพิจารณาซึ่งโจทก์โจทก์ร่วมและจำเลยที่2จะต้องสืบพยานในประเด็นนี้กันต่อไปอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการใช้ข้อเท็จจริงจากคดีอาญาในคดีแพ่ง: การบุกรุกที่ดิน และการพิสูจน์เนื้อที่ที่บุกรุก
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46ที่บัญญัติว่าในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญานั้นหมายถึงข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นโดยตรงซึ่งเป็นประเด็นสำคัญและศาลต้องฟังยุติมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วไม่ใช่ประเด็นปลีกย่อยเมื่อคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่2ได้บุกรุกเข้าไปปลูกสร้างเรือนในที่พิพาทคดีแพ่งคดีนี้ศาลขึงต้องถือข้อเท็จจริงตามได้เพียงว่าจำเลยที่2ได้บุกรุกที่ดินพิพาทจริงส่วนที่พิพาทที่จำเลยที่2บุกรุกเนื้อที่เท่าไรเป็นไปตามคำพิพากษาคดีอาญาหรือตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องคดีนี้เป็นข้อปลีกย่อยรายละเอียดที่จะต้องนำสืบกันอีกในชั้นพิจารณาซึ่งโจทก์โจทก์ร่วมและจำเลยที่2จะต้องสืบพยานในประเด็นนี้กันต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสะดุดหยุดเมื่อจำเลยรับสภาพหนี้ การรับรองการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นหลักฐาน
หนังสือที่จำเลยที่3มีถึงโจทก์ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่าจำเลยที่3ปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่อย่างใดถือได้ว่าจำเลยที่3ยอมรับตามสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่1ได้ทำไว้แก่จำเลยที่3และยอมรับที่จะจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนรายนี้แก่โจทก์แล้วแต่ขอเวลาอีก60วันเพื่อการรวบรวมหลักฐานให้ครบถ้วนจะได้ประมวลข้อเท็จจริงทั้งหมดซึ่งเป็นเรื่องดำเนินการตามขั้นตอนทางปฏิบัติของบริษัทจำเลยที่3เท่านั้นการกระทำของจำเลยที่3เป็นการกระทำอันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์แล้วอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา139/14เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้วระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใดให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตามมาตรา193/15หนังสือที่จำเลยที่3มีถึงโจทก์ลงวันที่25มีนาคม2533เมื่อนับถึงวันฟ้องคือวันที่23สิงหาคม2534ยังไม่เกินสองปีคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่3จึงยังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา882

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมรับหนี้โดยปริยายและการสะดุดหยุดของอายุความตาม ป.พ.พ.
หนังสือที่จำเลยที่ 3 มีถึงโจทก์ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่าจำเลยที่ 3 ปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่อย่างใด ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ยอมรับตามสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 1 ได้ทำไว้แก่จำเลยที่ 3 และยอมรับที่จะจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนรายนี้แก่โจทก์แล้ว แต่ขอเวลาอีก 60 วัน เพื่อการรวบรวมหลักฐานให้ครบถ้วนจะได้ประมวลข้อเท็จจริงทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องดำเนินการตามขั้นตอนทางปฏิบัติของบริษัทจำเลยที่ 3 เท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการกระทำอันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์แล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 139/14 เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตามมาตรา 193/15 หนังสือที่จำเลยที่ 3 มีถึงโจทก์ลงวันที่ 25มีนาคม 2533 เมื่อนับถึงวันฟ้อง คือวันที่ 23 สิงหาคม 2534 ยังไม่เกินสองปีคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 จึงยังไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 882

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 523/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดต่ำกว่าราคาประเมิน: ศาลต้องไต่สวนเหตุผลเพื่อคุ้มครองสิทธิลูกหนี้
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทสรุปได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดต่ำกว่าราคาประเมินของสำนักงานกลางประเมินราคาทรัพย์สินโดยราคาที่ขายได้ต่ำกว่าราคาตามท้องตลาดถึง30เปอร์เซ็นต์เป็นการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรมดังนั้นคำร้องของจำเลยทั้งสามเท่ากับอ้างเหตุว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา513คือไม่ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามให้ได้ราคาสูงสุดนั่นเองซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องดำเนินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา308วรรคหนึ่งและหากได้ความว่าประเมินราคาทรัพย์ต่ำกว่าราคาแท้จริงในท้องตลาดมากโดยไม่ตรวจสอบราคาอันถูกต้องแท้จริงเสียก่อนย่อมส่อพฤติการณ์ว่าไม่สุจริตอยู่ในตัวเป็นการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296วรรคสองโดยที่จำเลยทั้งสามไม่ต้องระบุบทกฎหมายดังกล่าวมาในคำร้องด้วยศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องให้สิ้นกระแสความไม่ควรด่วนสั่งงดการไต่สวนเสียเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความยินยอมในการร่วมประเวณี: พฤติการณ์สมัครใจไม่มีข่มขืน ไม่เป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา
ผู้เสียหายมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยและรู้จักกันก่อนเกิดเหตุประมาณ2ปีพฤติการณ์ที่ผู้เสียหายยินยอมตามจำเลยไปที่ห้องพักของจำเลยมีการพูดคุยกันในห้องสองต่อสองยินยอมให้จำเลยเล้าโลมกอดจูบและร่วมประเวณีถึง3ครั้งเชื่อว่าผู้เสียหายสมัครใจทุกครั้งแต่ผู้เสียหายเบิกความบ่ายเบี่ยงไปว่าเมื่อจำเลยกอดจูบและจับตัวผู้เสียหายนอนหงายกับพื้นแล้วนั่งคร่อมบริเวณลำตัวของผู้เสียหายจับตัวผู้เสียหายพลิกคว่ำและใช้ผ้าเช็ดหน้ามัดมือทั้งสองข้างไว้แล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายนั้นสืบเนื่องมาจากความปรากฎแก่พี่สาวและพี่ชายผู้เสียหายเมื่อตกลงกันไม่ได้เรื่องจึงบานปลายกลายเป็นเรื่องร้องทุกข์ไปถึงสถานีตำรวจแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพแต่ก็เป็นเพียงพยานบอกเล่าไม่อาจนำมารับฟังประกอบเพื่อลงโทษได้เมื่อข้อเท็จจริงเป็นอันยุติว่าผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยร่วมประเวณีโดยสมัครใจไม่ได้มีการข่มขืนขู่เข็ญหรือใช้กำลังประทุษร้ายการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคืนการครอบครองที่ดิน: สิทธิครอบครองขึ้นอยู่กับสถานะทางกฎหมายก่อนถึงที่สุด
โจทก์ได้ฟ้อง จ.และ ป.ภรรยาเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่บุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยกล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จ.ให้การปฏิเสธและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนกรณีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการฟ้องเอาคืนการครอบครอง การที่จำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ จ.จำเลยในคดีก่อนในระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุด จำเลยย่อมไม่อาจยกการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นอ้างยันสิทธิครอบครองของโจทก์ โจทก์จึงหาขาดสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและไม่อาจฟ้องเรียกร้องเอาคืนไม่
of 67