พบผลลัพธ์ทั้งหมด 667 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงดอกเบี้ยบัตรเครดิต: ไม่เข้าข่ายดอกเบี้ยเกินกฎหมาย
เงินที่ธนาคารโจทก์ได้ผ่อนผันจ่ายไปก่อนตามสัญญาบัญชี-เดินสะพัดและคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตที่จำเลยขอสินเชื่อบัตรเครดิตจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ ตลอดจนเบิกเงินสดจากเครื่องบริการนั้นไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอนว่าให้จำเลยจะต้องจ่ายคืนให้แก่โจทก์เมื่อใด เป็นแต่เพียงว่า จำเลยยอมผูกพันตนที่จะจ่ายคืนให้พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะเศรษฐกิจ สังคมและนโยบายการเงินของประเทศ เป็นการกำหนดดอกเบี้ยกันไว้ล่วงหน้า ถือว่าจำเลยตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้ว และไม่อยู่ในบังคับของ ป.พ.พ.มาตรา 654 ซึ่งห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปีเพราะมิใช่เป็นเรื่องกู้ยืมและโจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์เป็นสถาบันการเงิน ข้อตกลงดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยไปตามข้อตกลงนั้น จึงไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 379
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยบัตรเครดิต: ข้อตกลงดอกเบี้ยระหว่างธนาคารและผู้ใช้บัตรเครดิต ไม่เข้าข่ายเบี้ยปรับตามกฎหมาย
เงินที่ธนาคารโจทก์ได้ผ่อนผันจ่ายไปก่อนตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดและคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตที่จำเลยขอสินเชื่อบัตรเครดิตจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ชำระค่าสินค้าและบริการตลอดจนเบิกเงินสดจากเครื่องบริการนั้นไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอนว่าให้จำเลยจะต้องจ่ายคืนให้แก่โจทก์เมื่อใดเป็นแต่เพียงว่าจำเลยยอมผูกพันตนที่จะจ่ายคืนให้พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะเศรษฐกิจสังคมและนโยบายการเงินของประเทศเป็นการกำหนดดอกเบี้ยกันไว้ล่วงหน้าถือว่าจำเลยตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้วและไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา654ซึ่งห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปีเพราะมิใช่เป็นเรื่องกู้ยืมและโจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์เป็นสถาบันการเงินข้อตกลงดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายจำเลยต้องเสียดอกเบี้ยไปตามข้อตกลงนั้นจึงไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา379
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงดอกเบี้ยบัตรเครดิตไม่เข้าข่ายเบี้ยปรับ - ดอกเบี้ยสูงสุดตามประกาศ ธปท. ชอบด้วยกฎหมาย
คำขอสินเชื่อบัตรเครดิตมีข้อสัญญาว่าโจทก์ยอมผ่อนผันจ่ายเงินไปก่อนทั้งที่เงินฝากในบัญชีมีไม่พอจ่ายโดยไม่มีกำหนดเวลาชำระคืนเป็นแต่เพียงจำเลยตกลงชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเป็นการกำหนดดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้าถือได้ว่าจำเลยตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวแต่ต้นจึงไม่อยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา654ซึ่งห้ามคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปีเพราะมิใช่การกู้ยืมและโจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ข้อตกลงดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงดอกเบี้ยบัตรเครดิตชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นเบี้ยปรับ ศาลแก้เป็นดอกเบี้ย 18.5%
ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดและคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่ธนาคารผ่อนผันการจ่ายเงินไปก่อนทั้งที่เงินฝากคงเหลือในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่ายผู้ฝากยอมผูกพันตนที่จะจ่ายเงินนั้นคืน และยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์คิดจากผู้กู้ยืม เงินที่ธนาคารโจทก์ได้ผ่อนผันจ่ายไปก่อนนั้นไม่อยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654เพราะมิใช่เป็นเรื่องกู้ยืมและโจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์เป็นสถาบันการเงิน ข้อตกลงดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายจำเลยต้องเสียดอกเบี้ยไปตามนั้นไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่จะลดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบที่ดินขาดตกบกพร่อง ผู้ขายต้องรับผิดชอบตามสัญญาซื้อขาย
ที่ดินที่จำเลยขายให้แก่โจทก์มีเนื้อที่ 85 ตารางวา มิได้มีเนื้อที่ส่วนใดรุกล้ำเข้าไปในเขตทางหลวง ดังนั้น ที่จำเลยส่งมอบที่ดินให้แก่โจทก์โดยชี้ว่าเขตที่ดินด้านทิศใต้อยู่ห่างจากจุดกึ่งกลางทางหลวง 7.50 เมตร ตามที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งความจริงแล้วเขตที่ดินด้านที่อยู่ห่างจากจุดกึ่งกลางทางหลวงมากกว่าที่จำเลยชี้ อันเป็นผลทำให้ที่ดินที่จำเลยส่งมอบให้แก่โจทก์มีเนื้อที่ขาดไป 30ตารางวา จึงเป็นกรณีที่จำเลยผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่โจทก์ผู้ซื้อขาดตกบกพร่อง ไม่ครบจำนวนตามที่ตกลงซื้อขายกัน โจทก์ผู้ซื้อจึงต้องฟ้องให้จำเลยรับผิดภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายให้แก่โจทก์ ตามป.พ.พ.มาตรา 467
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องขาดการส่งมอบทรัพย์สิน: ผู้ซื้อมีสิทธิฟ้องภายใน 1 ปีนับจากวันส่งมอบ หากที่ดินที่ส่งมอบไม่ครบตามสัญญา
ที่ดินที่จำเลยขายให้แก่โจทก์มีเนื้อที่85ตารางวามิได้มีเนื้อที่ส่วนใดรุกล้ำเข้าไปในเขตทางหลวงดังนั้นที่จำเลยส่งมอบที่ดินให้แก่โจทก์โดยชี้ว่าเขตที่ดินด้านทิศใต้อยู่ห่างจากจุดกึ่งกลางทางหลวง7.50เมตรตามที่โจทก์ฟ้องซึ่งความจริงแล้วเขตที่ดินด้านที่อยู่ห่างจากจุดกึ่งกลางทางหลวงมากกว่าที่จำเลยชี้อันเป็นผลทำให้ที่ดินที่จำเลยส่งมอบให้แก่โจทก์มีเนื้อที่ขาดไป30ตารางวาจึงเป็นกรณีที่จำเลยผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่โจทก์ผู้ซื้อขาดตกบกพร่องไม่ครบจำนวนตามที่ตกลงซื้อขายกันโจทก์ผู้ซื้อจึงต้องฟ้องให้จำเลยรับผิดภายใน1ปีนับแต่วันที่จำเลยส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา467
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำได้ตัวผู้กระทำผิดจากพยานผู้เสียหาย: การยืนยันรูปพรรณและของกลางที่ตรงกัน
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันมองเห็นกันได้ชัดเจนจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านผู้เสียหายไปแล้วกลับรถมาพูดคุยกับผู้เสียหายเป็นเวลานานพอสมควรที่ผู้เสียหายจะสังเกตและจำจำเลยได้เมื่อไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ป้อมตำรวจและแจ้งต่อพนักงานสอบสวนผู้เสียหายก็ยืนยันว่าจำคนร้ายได้และระบุรูปพรรณคนร้ายตลอดจนเสื้อผ้าที่คนร้ายสวมใส่โดยละเอียดก่อนจับจำเลยได้เจ้าพนักงานตำรวจนำภาพถ่ายนักโทษมาให้ผู้เสียหายดูผู้เสียหายว่าไม่ใช่คนร้ายต่อมาได้นำภาพถ่ายจำเลยในใบขับขี่รถจักรยานยนต์มาให้ดูผู้เสียหายจึงบอกว่าเป็นคนร้ายขณะตรวจค้นบ้านของจำเลยผู้เสียหายได้ชี้บอกถึงกระเป๋าสะพายผ้าร่มสีดำและเสื้อที่จำเลยสวมใส่วันเกิดเหตุตรงกับที่แจ้งความไว้แต่แรกให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดเป็นของกลางเชื่อได้ว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1175/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการปรับและบอกเลิกสัญญาซื้อขายเมื่อผู้ขายผิดนัด รวมถึงการลดเบี้ยปรับที่สูงเกินควร
ตามสัญญาซื้อขายข้อ8และข้อ9มีความเกี่ยวพันกันโดยลำดับเกี่ยวกับการบังคับเอาแก่จำเลยผู้ขายกรณีผิดสัญญากล่าวคือเมื่อถึงกำหนดส่งมอบแล้วจำเลยผิดนัดไม่ส่งมอบโจทก์ขอใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันทีตามสัญญาข้อ8และริบหลักประกันตามสัญญาข้อ7เป็นจำนวนทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้และหากโจทก์จัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นจำเลยต้องรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญาหากโจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับในอัตราร้อยละ0.2ของราคาของที่ยังไม่ได้รับมอบตามสัญญาข้อ9วรรคแรกและในกรณีใช้สิทธิเรียกค่าปรับถ้าโจทก์เห็นว่าในระหว่างที่มีการปรับนั้นจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาริบหลักประกันและเรียกให้ชดใช้ราคาของที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการปรับได้ตามสัญญาข้อ9วรรคสองไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าในกรณีที่ได้มีการปฏิบัติตามสัญญาไปบ้างแล้วเท่านั้นจึงจะปรับเข้ากับสัญญาข้อ9ได้ดังนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบและสงวนสิทธิ์ในอันที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่อ้างถึงในสัญญาข้อ8ข้อ9และข้อ10ไว้ต่อมาได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยส่งมอบสิ่งของตามสัญญาและแจ้งไปด้วยว่าโจทก์ต้องทำการปรับจำเลยด้วยแต่จำเลยเพิกเฉยในระหว่างที่มีการปรับโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้จึงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาถือว่าโจทก์ใช้สิทธิตามสัญญาข้อ9หาใช่สิทธิตามสัญญาข้อ8ไม่โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าปรับในอัตราร้อยละ0.2ของราคาที่ยังไม่รับมอบตามสัญญาจากจำเลยได้ ราคาสิ่งของตามสัญญาซื้อขายมีเพียง92,720บาทโจทก์เรียกค่าปรับมาเป็นเงิน90,123.84บาทนับว่าสูงเกินเงินค่าปรับดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่งซึ่งศาลมีอำนาจลดลดเป็นจำนวนสมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา383
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1175/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการบอกเลิกสัญญา, ค่าปรับ, และการลดเบี้ยปรับตามสัญญาซื้อขาย
ตามสัญญาซื้อขาย ข้อ 8 และข้อ 9 มีความเกี่ยวพันกันโดยลำดับเกี่ยวกับการบังคับเอาแก่จำเลยผู้ขายกรณีผิดสัญญา กล่าวคือ เมื่อถึงกำหนดส่งมอบแล้วจำเลยผิดนัดไม่ส่งมอบ โจทก์ขอใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันทีตามสัญญาข้อ 8และริบหลักประกันตามสัญญาข้อ 7 เป็นจำนวนทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ และหากโจทก์จัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นจำเลยต้องรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญา หากโจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา โจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาของที่ยังไม่ได้รับมอบตามสัญญาข้อ 9 วรรคแรกและในกรณีใช้สิทธิเรียกค่าปรับ ถ้าโจทก์เห็นว่าในระหว่างที่มีการปรับนั้น จำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ริบหลักประกัน และเรียกให้ชดใช้ราคาของที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการปรับได้ ตามสัญญาข้อ 9วรรคสอง ไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าในกรณีที่ได้มีการปฏิบัติตามสัญญาไปบ้างแล้วเท่านั้น จึงจะปรับเข้ากับสัญญาข้อ 9 ได้ ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบและสงวนสิทธิในอันที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่อ้างถึงในสัญญาข้อ 8 ข้อ 9 และข้อ 10 ไว้ ต่อมาได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยส่งมอบสิ่งของตามสัญญาและแจ้งไปด้วยว่าโจทก์ต้องทำการปรับจำเลยด้วย แต่จำเลยเพิกเฉยในระหว่างที่มีการปรับ โจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ จึงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาถือว่าโจทก์ใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 9 หาใช่ใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าปรับในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาที่ยังไม่ได้รับมอบตามสัญญาจากจำเลยได้
ราคาสิ่งของตามสัญญาซื้อขายมีเพียง 92,720 บาท โจทก์เรียกค่าปรับมาเป็นเงิน 90,123.84 บาท นับว่าสูงเกินส่วน เงินค่าปรับดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่ง ซึ่งศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนสมควรได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 383
ราคาสิ่งของตามสัญญาซื้อขายมีเพียง 92,720 บาท โจทก์เรียกค่าปรับมาเป็นเงิน 90,123.84 บาท นับว่าสูงเกินส่วน เงินค่าปรับดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่ง ซึ่งศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนสมควรได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 383
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1069/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์ในคดีแพ่ง: การคำนวณจากราคาที่พิพาทและค่าเสียหาย เพื่อกำหนดอำนาจศาลและขอบเขตการอุทธรณ์ฎีกา
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลและให้จำเลยที่1โอนขายที่พิพาทให้โจทก์ที่1เนื้อที่ประมาณ71ตารางวา ในราคาตารางวาละ250บาทรวมเป็นเงิน17,750บาทตามสัญญาจะซื้อจะขายและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน10,000บาทโดยเสียค่าขึ้นศาลในส่วนของที่พิพาทในราคาตารางวาละ250บาทตามสัญญาจะซื้อจะขายศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลยังไม่ครบถ้วนโดยไม่ได้คำนวณราคาที่พิพาทจึงให้โจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลให้ครบต่อมาได้มีการ คำนวณราคาที่พิพาทตารางวาละ1,000บาทรวมเป็นราคาที่พิพาท71,000บาทค่าเสียหายอีก10,000บาทรวมเป็น81,000บาทซึ่งถือเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ดังนั้นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องหรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในคดี ขณะยื่นคำฟ้องจึงเกินกว่า50,000บาทไม่ใช่ถือเอาทุนทรัพย์หรือราคาตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยโดยเห็นว่าจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน50,000บาทต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งจึงไม่ชอบทั้งเป็นคดีที่ ต้องห้ามฎีกาใน ข้อเท็จจริง ศาลฎีกาย่อมย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวตามลำดับชั้นศาล