พบผลลัพธ์ทั้งหมด 193 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 354/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อถอนอาคารผิดแบบ: ประเด็นซ้ำกับคดีก่อนหน้าทำให้ต้องห้ามพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
โจทก์ทั้งสองปลูกสร้างอาคารพิพาทผิดไปจากแบบแปลน จำเลยที่ 2 โดยผู้อำนวยการเขตจึงมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองระงับการก่อสร้างและให้โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขแบบแปลนภายในเวลาที่กำหนด แต่โจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติตามทั้งมิได้อุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลา จำเลยที่ 2จึงฟ้องโจทก์ทั้งสองให้รื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 22886/2532 ให้โจทก์ทั้งสองดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคารพิพาทให้ถูกต้องตามแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตหากโจทก์ทั้งสองไม่แก้ไข โจทก์ทั้งสองต้องรื้อถอนอาคารพิพาทส่วนที่ก่อสร้างผิดจากแบบแปลนออกเสีย โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว ในขณะที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีดังกล่าว โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขแบบแปลน แต่ผู้อำนวยการเขตไม่อนุญาต โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขแบบแปลนเช่นเดียวกัน โจทก์ทั้งสองจึงมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ ดังนั้นประเด็นในคดีนี้มีว่า คำสั่งของผู้อำนวยการเขตและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับคำขออนุญาตแก้ไขแบบแปลนอาคารพิพาทของโจทก์ทั้งสองนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งก็จะต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าอาคารพิพาทก่อสร้างผิดจากแบบที่จำเลยสามารถอนุญาตให้แก้ไขให้ถูกต้องได้หรือไม่ หรือจะต้องรื้อถอน ปรากฏว่าในคดีแพ่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ที่โจทก์ทั้งสองก่อสร้างอาคารพิพาทผิดจากแบบเป็นการก่อสร้างผิดจากแบบที่จำเลยสามารถอนุญาตให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้หรือไม่ หรือจะต้องรื้อถอนทั้งหมด ดังนี้ ประเด็นในคดีนี้ดังกล่าวจึงรวมอยู่ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 22886/2532 ดังกล่าวนั้นด้วย เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในคดีแรกไปแล้ว จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวอีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9787/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้ค่ากระแสไฟฟ้ากับหลักประกัน และหน้าที่ในการติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าตามสัญญา
โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ให้ไว้ต่อจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิหักหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจากพันธบัตรที่โจทก์วางเป็นประกันไว้ได้ การหักกลบลบหนี้ต้องเป็นกรณีที่บุคคลสองคนต่างมีหนี้ผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระแล้วคดีนี้ได้ความว่าโจทก์เป็นหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจำเลยฝ่ายเดียว ส่วนจำเลยหาได้เป็นหนี้โจทก์ไม่ เพราะโจทก์เพียงนำพันธบัตรไปวางเป็นหลักประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าแก่จำเลยเท่านั้นกรณีจึงไม่ต้องด้วยลักษณะการหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9787/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้ค่าไฟฟ้าค้างชำระกับพันธบัตรประกันการชำระหนี้ และหน้าที่ของจำเลยในการให้บริการไฟฟ้า
เรื่อง สัญญา
++ ข้อมูล cw
++
++ คำพิพากษาสั่งออก - รอย่อ - แจ้งการอ่านแล้ว
++ ขอชุดตรวจโปรดติดต่อห้องสมุด
++ ขอสำเนาคำพิพากษาชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุดชั้น 4, 5)
++ ทดสอบการทำงานในเครื่องด้วยระบบ cw
++ โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ให้ไว้ต่อจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิหักหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจากพันธบัตรที่โจทก์วางเป็นประกันไว้ได้
การหักกลบลบหนี้ต้องเป็นกรณีที่บุคคลสองคนต่างมีหนี้ผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระแล้ว
โจทก์เป็นหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจำเลยฝ่ายเดียว ส่วนจำเลยหาได้เป็นหนี้โจทก์ไม่ เพราะโจทก์เพียงนำพันธบัตรไปวางเป็นหลักประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าแก่จำเลยเท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยลักษณะการหักกลบลบหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 341 ++
++ ข้อมูล cw
++
++ คำพิพากษาสั่งออก - รอย่อ - แจ้งการอ่านแล้ว
++ ขอชุดตรวจโปรดติดต่อห้องสมุด
++ ขอสำเนาคำพิพากษาชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุดชั้น 4, 5)
++ ทดสอบการทำงานในเครื่องด้วยระบบ cw
++ โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ให้ไว้ต่อจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิหักหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจากพันธบัตรที่โจทก์วางเป็นประกันไว้ได้
การหักกลบลบหนี้ต้องเป็นกรณีที่บุคคลสองคนต่างมีหนี้ผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันและหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระแล้ว
โจทก์เป็นหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจำเลยฝ่ายเดียว ส่วนจำเลยหาได้เป็นหนี้โจทก์ไม่ เพราะโจทก์เพียงนำพันธบัตรไปวางเป็นหลักประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าแก่จำเลยเท่านั้น กรณีจึงไม่ต้องด้วยลักษณะการหักกลบลบหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 341 ++
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9787/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้ค่ากระแสไฟฟ้ากับการวางประกันการชำระหนี้: สิทธิของจำเลยในการนำหลักประกันมาชำระหนี้แม้มีข้อต่อสู้
โจทก์ไม่ชำระค่ากระแสไฟฟ้าให้การไฟฟ้านครหลวงจำเลยจำเลยจึงมีสิทธินำมูลค่าพันธบัตรที่โจทก์วางประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้ามาชำระแทนตามที่ตกลงกันไว้ได้ แม้หนี้ค่ากระแสไฟฟ้ายังมีข้อต่อสู้อยู่ก็ตามเพราะมิใช่การหักกลบลบหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตร 341เนื่องจากโจทก์เป็นหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าจำเลยเพียงฝ่ายเดียวส่วนจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ โจทก์เพียงแต่นำพันธบัตรไปวางเป็นประกันการชำระหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าแก่จำเลยเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9779/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันตามสัมปทานและการเลิกสัญญา ผู้รับสัมปทานต้องปฏิบัติตามกฎหมายและเงื่อนไขในสัญญา
ตามสัมปทานข้อ 7 กำหนดให้สัมปทานอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย กฎ และข้อบังคับทั้งปวงที่ประกาศใช้บังคับอยู่แล้วในขณะนี้และที่จะได้ประกาศใช้บังคับต่อไปในภายหน้า ผู้รับสัมปทานจะอ้างเอาข้อกำหนดหรือเงื่อนไขใด ๆ ในสัมปทานเป็นข้อยกเว้นมิให้ต้องถูกบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับนั้น ๆ หรือจะอ้างเหตุที่ได้รับ หรือจะได้รับโทษตามกฎหมายมาเป็นเหตุไม่ต้องถูกบังคับตามสัมปทานนี้หาได้ไม่ การที่คณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นรัฐผู้มีอำนาจให้รัฐมนตรีมีคำสั่งหยุดการทำไม้ชั่วคราวเพื่อปรับปรุงการจัดโครงการทำไม้ การใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้เพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งเป็นคำสั่งที่ใช้รวมกันทุกสัมปทานใน 14 จังหวัดภาคใต้ คำสั่งดังกล่าวถือได้ว่าเป็นกฎและข้อบังคับที่ประกาศใช้บังคับภายหลังมีสัมปทานทำไม้ ย่อมมีผลผูกพันโจทก์มิให้อ้างเอาข้อกำหนดหรือเงื่อนไขใด ๆ มาเป็นข้อยกเว้นมิให้ถูกบังคับตามคำสั่งดังกล่าวตามสัมปทานทำไม้ข้อ 7 ได้
สัมปทานข้อ 34 กำหนดว่า "ถ้าผู้รับสัมปทานประสงค์จะขอเลิกสัมปทานก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาตามข้อ 2 ให้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ให้สัมปทานทราบว่า ประสงค์จะเลิกสัมปทานตั้งแต่เมื่อใด และผู้รับสัมปทานจะหยุดทำไม้นับแต่วันที่แจ้งก็ได้ แต่ผู้รับสัมปทานยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัมปทานนี้ จนถึงวันที่ผู้ให้สัมปทานกำหนดให้เป็นวันเลิกสัมปทาน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 180 วัน นับแต่วันที่ผู้ให้สัมปทานได้รับหนังสือแจ้งขอเลิกสัมปทาน
การเลิกสัมปทานตามวรรคหนึ่ง ผู้รับสัมปทานไม่มีสิทธิได้รับเงินประกันที่วางไว้ตามข้อ 31 คืน"
ตามข้อสัมปทานดังกล่าวเป็นเรื่องขอเลิกสัมปทานก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัมปทานซึ่งมีกำหนดระยะเวลา 30 ปี เมื่อโจทก์ได้แจ้งขอเลิกสัมปทาน ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนครบกำหนดอายุสัมปทาน หนังสือบอกเลิกสัมปทานดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นหนังสือบอกเลิกสัมปทานโดยความสมัครใจของโจทก์เอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินประกันที่วางไว้คืน ทั้งนี้ตามที่ระบุไว้ในสัมปทานข้อ 34 วรรคสอง
สัมปทานข้อ 34 กำหนดว่า "ถ้าผู้รับสัมปทานประสงค์จะขอเลิกสัมปทานก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาตามข้อ 2 ให้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ให้สัมปทานทราบว่า ประสงค์จะเลิกสัมปทานตั้งแต่เมื่อใด และผู้รับสัมปทานจะหยุดทำไม้นับแต่วันที่แจ้งก็ได้ แต่ผู้รับสัมปทานยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัมปทานนี้ จนถึงวันที่ผู้ให้สัมปทานกำหนดให้เป็นวันเลิกสัมปทาน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 180 วัน นับแต่วันที่ผู้ให้สัมปทานได้รับหนังสือแจ้งขอเลิกสัมปทาน
การเลิกสัมปทานตามวรรคหนึ่ง ผู้รับสัมปทานไม่มีสิทธิได้รับเงินประกันที่วางไว้ตามข้อ 31 คืน"
ตามข้อสัมปทานดังกล่าวเป็นเรื่องขอเลิกสัมปทานก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัมปทานซึ่งมีกำหนดระยะเวลา 30 ปี เมื่อโจทก์ได้แจ้งขอเลิกสัมปทาน ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนครบกำหนดอายุสัมปทาน หนังสือบอกเลิกสัมปทานดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นหนังสือบอกเลิกสัมปทานโดยความสมัครใจของโจทก์เอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินประกันที่วางไว้คืน ทั้งนี้ตามที่ระบุไว้ในสัมปทานข้อ 34 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9779/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาทำไม้: คำสั่งหยุดทำไม้ชั่วคราวไม่ถือเป็นการผิดสัญญา และการบอกเลิกสัญญาโดยความสมัครใจ
ตามสัมปทานข้อ7กำหนดให้สัมปทานอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายกฎและข้อบังคับทั้งปวงที่ประกาศใช้บังคับอยู่แล้วในขณะนี้และที่จะได้ประกาศใช้บังคับต่อไปในภายหน้าผู้รับสัมปทานจะอ้างเอาข้อกำหนดหรือเงื่อนไขใดๆในสัมปทานเป็นข้อยกเว้นมิให้ต้องถูกบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายกฎหรือข้อบังคับนั้นๆหรือจะอ้างเหตุที่ได้รับหรือจะได้รับโทษตามกฎหมายมาเป็นเหตุไม่ต้องถูกบังคับตามสัมปทานนี้หาได้ไม่การที่คณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นรัฐผู้มีอำนาจให้รัฐมนตรีมีคำสั่งหยุดการทำไม้ชั่วคราวเพื่อปรับปรุงการจัดโครงการทำไม้การใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้เพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งเป็นคำสั่งที่ใช้รวมกันทุกสัมปทานใน14จังหวัดภาคใต้คำสั่งดังกล่าวถือได้ว่าเป็นกฎและข้อบังคับที่ประกาศใช้บังคับภายหลังมีสัมปทานทำไม้ย่อมมีผลผูกพันโจทก์มิให้อ้างเอาข้อกำหนดหรือเงื่อนไขใดๆมาเป็นข้อยกเว้นมิให้ถูกบังคับตามคำสั่งดังกล่าวตามสัมปทานทำไม้ข้อ7ได้ สัมปทานข้อ34กำหนดว่า"ถ้าผู้รับสัมปทานประสงค์จะขอเลิกสัมปทานก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาตามข้อ2ให้แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ให้สัมปทานทราบว่าประสงค์จะเลิกสัมปทานตั้งแต่เมื่อใดและผู้รับสัมปทานจะหยุดทำไม้นับแต่วันที่แจ้งก็ได้แต่ผู้รับสัมปทานยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัมปทานนี้จนถึงวันที่ผู้ให้สัมปทานกำหนดให้เป็นวันเลิกสัมปทานแต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน180วันนับแต่วันที่ผู้ให้สัมปทานได้รับหนังสือแจ้งขอเลิกสัมปทาน การเลิกสัมปทานตามวรรคหนึ่งผู้รับสัมปทานไม่มีสิทธิได้รับเงินประกันที่วางไว้ตามข้อ31คืน" ตามข้อสัมปทานดังกล่าวเป็นเรื่องขอเลิกสัมปทานก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัมปทานซึ่งมีกำหนดระยะเวลา30ปีเมื่อโจทก์ได้แจ้งขอเลิกสัมปทานซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนครบกำหนดอายุสัมปทานหนังสือบอกเลิกสัมปทานดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นหนังสือบอกเลิกสัมปทานโดยความสมัครใจของโจทก์เองโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินประกันที่วางไว้คืนทั้งนี้ตามที่ระบุไว้ในสัมปทานข้อ34วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9509/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้จัดการมรดกในการเรียกคืนเอกสารสิทธิที่ดินจากผู้ครอบครอง แม้มีการอ้างสิทธิครอบครองปรปักษ์
โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล โจทก์ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ในเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1719 การที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยการครอบครองปรปักษ์ซึ่งที่ดินมรดกของผู้ตาย จำเลยทั้งสองก็ไม่อาจกระทำการขัดขวางสิทธิหน้าที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกในอันที่จะเรียก น.ส.3 สำหรับที่ดินมรดกของผู้ตาย เพื่อจัดการมรดกหรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกตามอำนาจกฎหมายได้ ทั้งกรณีไม่อยู่ในอายุความมรดกจำเลยทั้งสองจึงไม่มีอำนาจยึดเอกสาร น.ส.3 สำหรับที่ดินมรดกไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9152/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมต้องมีเหตุผลสมควร หากไม่มีเหตุผลและคู่ความฝ่ายตรงข้ามเสียเปรียบ ศาลชอบที่จะไม่อนุญาต
ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีในชั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองมีว่าจำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องและจำนองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำร้องนั้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ซึ่งทั้งผู้ร้องและโจทก์ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำร้องและข้ออ้างตามคำคัดค้านของตนตามประเด็นแห่งคดีที่พิพาทกันดังนั้นการยื่นบัญชีระบุจึงต้องตกอยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88ที่บังคับใช้ในขณะนั้นแต่ตามคำร้องโจทก์ที่ขอยื่นระบุพยานเพิ่มเติมระบุเพียงว่าเพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นพยานสำคัญเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอให้ศาลอนุญาตโดยมิได้แสดงเหตุอันสมควรว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใดอีกทั้งหากจะอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องขอดังกล่าวแล้วก็จะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบเพราะผู้ร้องได้สืบพยานเสร็จสิ้นแล้วและไม่มีโอกาสนำสืบหักล้างได้ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9152/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมต้องแสดงเหตุอันสมควรและไม่ทำให้คู่ความเสียเปรียบ
ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีในชั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองมีว่า จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องและจำนองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำร้องนั้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งทั้งผู้ร้องและโจทก์ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำร้องและข้ออ้างตามคำคัดค้านของตนตามประเด็นแห่งคดีที่พิพาทกัน ดังนั้น การยื่นบัญชีระบุจึงต้องตกอยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 88 ที่บังคับใช้ในขณะนั้น แต่ตามคำร้องโจทก์ที่ขอยื่นระบุพยานเพิ่มเติมระบุเพียงว่า เพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นพยานสำคัญ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอให้ศาลอนุญาต โดยมิได้แสดงเหตุอันสมควรว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตน หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด อีกทั้งหากจะอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องขอดังกล่าวแล้ว ก็จะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ เพราะผู้ร้องได้สืบพยานเสร็จสิ้นแล้วและไม่มีโอกาสนำสืบหักล้างได้ ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7059/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโดยชอบ และความรับผิดในมูลละเมิดของผู้เอาประกันภัย
กรมธรรม์ประกันภัยระบุเงื่อนไขในการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยว่าโจทก์จะบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยได้ด้วยการส่งหนังสือบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า15วันโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงจำเลยที่1ผู้เอาประกันภัยนั้นเป็นเพียงข้อกำหนดให้ผู้รับประกันภัยส่งหนังสือบอกกล่าวเลิกกรมธรรม์ประกันภัยแก่ผู้เอาประกันภัยล่วงหน้าก่อนยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยไม่น้อยกว่า15วันเท่านั้นเมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยได้ส่งหนังสือบอกกล่าวเลิกกรมธรรม์ประกันภัยแก่จำเลยที่1ผู้เอาประกันภัยล่วงหน้าก่อนยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยไม่น้อยกว่า15วันและจำเลยที่1ได้รับแล้วย่อมถือว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาประกันภัยแก่จำเลยที่1โดยชอบแล้ว