พบผลลัพธ์ทั้งหมด 193 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีของผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์หลังเจ้าหนี้สละสิทธิ/เพิกเฉยการบังคับคดี
กรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยึดทรัพย์สินสละสิทธิในการบังคับคดีหรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด ป.วิ.พ.มาตรา 295 ทวิ บัญญัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ศาลสั่งถอนการบังคับคดีนั้นเสียส่วนมาตรา 290 วรรคแปด บัญญัติให้ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ตามวรรคแรกมีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป เมื่อใจความทั้งสองมาตราหาได้กำหนดไว้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีกับผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์จะต้องร้องขอภายในกำหนดเวลา หรือเงื่อนไขอย่างไรศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536 ให้ถอนการบังคับคดี จึงย่อมมีผลโดยตรงเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่ขอให้ศาลบังคับคดีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 โดยไม่อาจบังคับคดีต่อไปได้เท่านั้น แต่ไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ที่ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เมื่อวันที่ 4 และ 5สิงหาคม 2524 ตามลำดับโดยชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไป เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งจำต้องร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เพราะไม่อาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินซ้ำตามมาตรา 290 วรรคแรก ได้
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหมายนัดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม2536 ถึงผู้ร้องทั้งสองแจ้งว่าถ้าหากประสงค์จะสวมสิทธิบังคับคดีแทนโจทก์ ให้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 7 วัน ผู้ร้องทั้งสองได้แถลงแจ้งความประสงค์ในวันดังกล่าวแล้ว แม้จะกระทำในเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดีก็ย่อมมีผลให้ผู้ร้องทั้งสองสามารถดำเนินการบังคับคดีต่อไปโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 290 วรรคแปด โดยไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตอีก
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหมายนัดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม2536 ถึงผู้ร้องทั้งสองแจ้งว่าถ้าหากประสงค์จะสวมสิทธิบังคับคดีแทนโจทก์ ให้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 7 วัน ผู้ร้องทั้งสองได้แถลงแจ้งความประสงค์ในวันดังกล่าวแล้ว แม้จะกระทำในเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดีก็ย่อมมีผลให้ผู้ร้องทั้งสองสามารถดำเนินการบังคับคดีต่อไปโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 290 วรรคแปด โดยไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้ขอเฉลี่ยทรัพย์และการสวมสิทธิบังคับคดีเมื่อเจ้าหนี้เดิมเพิกเฉยต่อการบังคับคดี
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ ถอนการบังคับคดี เพราะเหตุที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดมีผลโดยตรงเฉพาะโจทก์เท่านั้นไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์โดยชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหมายนัดถึงผู้ร้องทั้งสองแจ้งว่าถ้าหากประสงค์จะ สวมสิทธิบังคับคดีแทนโจทก์ให้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน7วันผู้ร้องทั้งสองได้แถลงแจ้งความประสงค์ในวันดังกล่าวแม้จะกระทำในเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดีก็ย่อมมีผลให้ผู้ร้องทั้งสองสามารถดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา290วรรคแปดโดยไม่จำต้องให้ศาลมีคำสั่งอนุญาต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์หลังเจ้าหนี้เพิกเฉยบังคับคดี: ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ยังคงมีสิทธิบังคับคดีได้
กรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยึดทรัพย์สินสละสิทธิในการบังคับคดีหรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา295ทวิบัญญัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ศาลสั่งถอนการบังคับคดีนั้นเสียส่วนมาตรา290วรรคแปดบัญญัติให้ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ตามวรรคแรกมีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไปเมื่อใจความทั้งสองมาตราหาได้กำหนดไว้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีกับผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์จะต้องร้องขอภายในกำหนดเวลาหรือเงื่อนไขอย่างไรศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่2กุมภาพันธ์2536ให้ถอนการบังคับคดีจึงย่อมมีผลโดยตรงเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่ขอให้ศาลบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271โดยไม่อาจบังคับคดีต่อไปได้เท่านั้นแต่ไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เมื่อวันที่4และ5สิงหาคม2524ตามลำดับโดยชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งจำต้องร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เพราะไม่อาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินซ้ำตามมาตรา290วรรคแรกได้ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหมายนัดเมื่อวันที่25มีนาคม2536ถึงผู้ร้องทั้งสองแจ้งว่าถ้าหากประสงค์จะสวมสิทธิบังคับคดีแทนโจทก์ให้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน7วันผู้ร้องทั้งสองได้แถลงแจ้งความประสงค์ในวันดังกล่าวแล้วแม้จะกระทำในเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดีก็ย่อมมีผลให้ผู้ร้องทั้งสองสามารถดำเนินการบังคับคดีต่อไปโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา290วรรคแปดโดยไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3476/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานครอบครองและพยายามจำหน่ายยาเสพติด โดยมีเจตนาซื้อขายแต่ยังไม่ส่งมอบ
จำเลยที่3ไม่ยินยอมส่งมอบเฮโรอีนของกลางให้ร้อยตำรวจเอกส. จนกว่าสามารถเบิกเงินตามตั๋วแลกเงินของร้อยตำรวจเอกส.ที่ธนาคารก่อนและร้องตำรวจเอกส. ก็ยินยอมไปเบิกเงินที่ธนาคารด้วยกันเท่ากับเป็นการซื้อขายโดยมีเงื่อนไขการซื้อเฮโรอีนยังไม่สำเร็จบริบูรณ์เมื่อจำเลยทั้งสามถูกจับเสียก่อนมีการส่งมอบเฮโรอีนของกลางการกระทำของจำเลยที่3ในส่วนนี้จึงเป็นความผิดเพียงฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนของกลางเท่านั้นการที่จำเลยที่3ครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเฮโรอีนโดยจำเลยที่1และที่2รู้เห็นมาตั้งแต่ต้นและร่วมกันกระทำความผิดกับจำเลยที่3โดยแบ่งหน้าที่กันทำจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเฮโรอีน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3476/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายเฮโรอีนมีเงื่อนไขและความผิดฐานร่วมกันครอบครองและพยายามจำหน่าย
จำเลยที่ 3 ไม่ยินยอมส่งมอบเฮโรอีนของกลางให้ร้อยตำรวจเอกส.จนกว่าสามารถเบิกเงินตามตั๋วแลกเงินของร้อยตำรวจเอก ส.ที่ธนาคารก่อนและร้อยตำรวจเอก ส.ก็ยินยอมไปเบิกเงินที่ธนาคารด้วยกันเท่ากับเป็นการซื้อขายโดยมีเงื่อนไข การซื้อเฮโรอีนยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ เมื่อจำเลยทั้งสามถูกจับเสียก่อนมีการส่งมอบเฮโรอีนของกลาง การกระทำของจำเลยที่ 3 ในส่วนนี้จึงเป็นความผิดเพียงฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนของกลางเท่านั้น การที่จำเลยที่ 3 ครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเฮโรอีนโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้เห็นมาตั้งแต่ต้นและร่วมกันกระทำความผิดกับจำเลยที่ 3 โดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเฮโรอีน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2772/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวเข้าสถานพินิจฯ ถือมิใช่การลงโทษจำคุก จึงห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย25ปีแต่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลางมีกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำ3ปีและชั้นสูง4ปีการเปลี่ยนโทษจำคุกดังกล่าวมิใช่เป็นการลงโทษจำคุกเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษายืนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2763/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันเรือค้ำประกัน: สถานที่ส่งมอบเรือ, ความรับผิดตามสัญญาประกัน, จำนวนเงินที่ประกัน
ส. เจ้าของเรือของกลางทำสัญญาประกันเรือต่อโจทก์ขอรับเรือของกลางไปเก็บรักษาไว้ในระหว่างคดีโดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันส. ต่อโจทก์สัญญาประกันเรือทำขึ้นที่กรุงเทพมหานครและส.รับเรือของกลางไปจากท่าเทียบเรือกรมศุลกากรที่กรุงเทพมหานครเมื่อโจทก์เรียกให้ส่งมอบเรือของกลางส. และจำเลยจะต้องนำเรือของกลางไปส่งมอบยังที่ที่เรือของกลางจอดอยู่ในขณะทำสัญญาประกันเรือคือท่าเทียบเรือกรมศุลกากรจำเลยขอส่งมอบของกลางแก่โจทก์ที่จังหวัดภูเก็ตโดยโจทก์ไม่ยอมรับไม่ได้ สัญญาประกันเรือมีข้อตกลงว่าระหว่างที่ผู้ประกันนำเรือของกลางไปเก็บรักษาถ้าเกิดการชำรุดเสียหายหรือสูญหายไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ในสภาพเดิมผู้ประกันยินยอมชดใช้เงินจนเต็มราคาที่ประกันไว้คือ1,000,000บาทซึ่งเงินจำนวน1,000,000บาทดังกล่าวเป็นจำนวนเงินที่ประกันไว้มิใช่ราคาเรือของกลางเมื่อส. ผิดสัญญาประกันเรือจึงต้องใช้เงินตามที่ประกันไว้แก่โจทก์จำนวน1,000,000บาทมิใช่ใช้ตามราคาเรือของกลางจำเลยซึ่งเป็นผู้คำประกันส. โดยยอมรับผิดเช่นเดียวกับส. ผู้ประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์1,000,000บาทด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2763/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันเรือ ความรับผิดตามสัญญา และการค้ำประกัน
ส.เจ้าของเรือของกลางทำสัญญาประกันเรือต่อโจทก์ขอรับเรือของกลางไปเก็บรักษาไว้ในระหว่างคดี โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ส.ต่อโจทก์สัญญาประกันเรือทำขึ้นที่กรุงเทพมหานคร และ ส.รับเรือของกลางไปจากท่าเทียบเรือกรมศุลกากรที่กรุงเทพมหานคร เมื่อโจทก์เรียกให้ส่งมอบเรือของกลาง ส.และจำเลยจะต้องนำเรือของกลางไปส่งมอบยังที่ที่เรือของกลางจอดอยู่ในขณะทำสัญญาประกันเรือคือท่าเทียบเรือกรมศุลกากร จำเลยจะขอส่งมอบเรือของกลางแก่โจทก์ที่จังหวัดภูเก็ตโดยโจทก์ไม่ยอมรับไม่ได้
สัญญาประกันเรือมีข้อตกลงว่า ระหว่างที่ผู้ประกันนำเรือของกลางไปเก็บรักษา ถ้าเกิดการชำรุดเสียหายหรือสูญหายไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ในสภาพเดิม ผู้ประกันยินยอมชดใช้เงินจนเต็มราคาที่ประกันไว้คือ 1,000,000 บาทซึ่งเงินจำนวน 1,000,000 บาท ดังกล่าวเป็นจำนวนเงินที่ประกันไว้ มิใช่ราคาเรือของกลาง เมื่อ ส.ผิดสัญญาประกันเรือจึงต้องใช้เงินตามที่ประกันไว้แก่โจทก์จำนวน 1,000,000 บาท มิใช่ใช้ตามราคาเรือของกลาง จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันส.โดยยอมรับผิดเช่นเดียวกับ ส.ผู้ประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ 1,000,000 บาทด้วย
สัญญาประกันเรือมีข้อตกลงว่า ระหว่างที่ผู้ประกันนำเรือของกลางไปเก็บรักษา ถ้าเกิดการชำรุดเสียหายหรือสูญหายไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ในสภาพเดิม ผู้ประกันยินยอมชดใช้เงินจนเต็มราคาที่ประกันไว้คือ 1,000,000 บาทซึ่งเงินจำนวน 1,000,000 บาท ดังกล่าวเป็นจำนวนเงินที่ประกันไว้ มิใช่ราคาเรือของกลาง เมื่อ ส.ผิดสัญญาประกันเรือจึงต้องใช้เงินตามที่ประกันไว้แก่โจทก์จำนวน 1,000,000 บาท มิใช่ใช้ตามราคาเรือของกลาง จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันส.โดยยอมรับผิดเช่นเดียวกับ ส.ผู้ประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ 1,000,000 บาทด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ต้องห้าม: การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเรื่องการส่งหมายเรียกไม่ใช่เหตุแห่งการทิ้งฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา326,328ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า"คดีมีมูลให้ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาหมายเรียกจำเลยแก้คดีและให้นัดสืบพยานโจทก์ในวันเดียวกันแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบโดยให้โจทก์นำส่งภายใน3วันมิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง"แต่โจทก์มิได้นำส่งหมายเรียกจำเลยแก้คดีและหมายนัดสืบพยานโจทก์ตามคำสั่งจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งฟ้องและขอให้ จำหน่ายคดีออกจากสารบบความการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า"ทนายจำเลยมาศาลในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องและลงลายมือชื่อรับทราบในรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลมีคำสั่งว่าคดีโจทก์มีมูลและนัดจำเลยแก้คดีและนัดสืบพยานโจทก์แล้วถือได้ว่าจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วจึงไม่อาจถือว่าโจทก์ ทิ้งฟ้อง ให้ยกคำร้อง"นั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวนเพราะคดีจะต้องพิจารณาต่อไปแม้ว่าศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งต่อไปว่า"จำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดให้ออกหมายจับให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความจับจำเลยได้เมื่อใดให้โจทก์แถลงต่อศาลเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่"ก็เป็นเพียงคำสั่งให้ จำหน่ายคดีชั่วคราวอันเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกันไม่ใช่เป็นกรณีศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญแล้วดังนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่นำส่งหมายเรียกตามคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นการทิ้งฟ้องจึงเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา196
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งระหว่างพิจารณาคดี ไม่ถือเป็นการพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญ ทำให้การอุทธรณ์เรื่องการทิ้งฟ้องเป็นอุทธรณ์ต้องห้าม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าถือไม่ได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้ยกคำร้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาแม้ศาลชั้นต้นจะสั่งต่อไปว่าจำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดให้ออกหมายจับให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความจับจำเลยได้เมื่อใดให้โจทก์แถลงต่อศาลเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ก็เป็นเพียงคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวอันเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกันไม่ใช่กรณีศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญแล้วดังนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่นำส่งหมายเรียกตามคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นการทิ้งฟ้องจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา196