คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมพล สัตยาอภิธาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 421 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีเวนคืน: ฟ้องเกิน 1 ปีนับแต่วันพ้นกำหนดวินิจฉัยอุทธรณ์ ทำให้ไม่มีสิทธิฟ้อง
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 25 วรรคสอง บัญญัติให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์และมาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายใน1 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วแต่กรณี ดังนี้เมื่อโจทก์อุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 1 วันที่ 20 กรกฎาคม 2535 จำเลยที่ 1จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นใน 60 วัน นับแต่วันดังกล่าว การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 1 มิถุนายน 2537 จึงฟ้องหลังจากพ้นกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาที่รัฐมนตรีต้องวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีเวนคืน: นับจากวันพ้นกำหนดวินิจฉัยอุทธรณ์ (60 วัน) ไม่ใช่วันแจ้งคำวินิจฉัย
พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา26ได้วางหลักเกณฑ์ในการนำคดีมาฟ้องศาลเมื่อผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนยังไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีไว้2กรณีคือกรณีแรกเป็นกรณีรัฐมนตรีได้วินิจฉัยอุทธรณ์เสร็จสิ้นใน60วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์เมื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีก็มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลภายใน1ปีนับแต่ที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยนั้นกรณีที่สองเป็นกรณีที่รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่เสร็จสิ้นภายใน60วันนับแต่วันรับอุทธรณ์กรณีเช่นนี้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนมีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลภายใน1ปีนับแต่พ้นกำหนด60วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีเวนคืน: การนับระยะเวลา 1 ปีจากวันรัฐมนตรีไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.เวนคืน
พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา26วางหลักเกณฑ์การนำคดีมาฟ้องศาลเมื่อผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนยังไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีไว้2กรณีกรณีแรกเป็นกรณีที่รัฐมนตรีได้วินิจฉัยอุทธรณ์เสร็จสิ้นใน60วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์เมื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจคำวินิจฉัยก็มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลภายใน1ปีนับแต่ที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยกรณีที่สองเป็นกรณีที่รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่เสร็จสิ้นภายใน60วันนับแต่วันรับอุทธรณ์ซึ่งผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนมีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลภายใน1ปีนับแต่พ้นกำหนด60วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์มิฉะนั้นไม่มีสิทธิฟ้องร้องและปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นี้เป็นหน้าที่ของศาลต้องพิจารณาหาใช่อำนาจของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดเวลาฟ้องคดีค่าทดแทนเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตาม พ.ร.บ.เวนคืน
พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา26 ได้วางหลักเกณฑ์ในการนำคดีมาฟ้องศาลเมื่อผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนยังไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีไว้ 2 กรณี คือ กรณีแรกเป็นกรณีที่รัฐมนตรีได้วินิจฉัยอุทธรณ์เสร็จสิ้นใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ เมื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีก็มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลภายใน 1 ปี นับแต่ที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยนั้น กรณีที่สองเป็นกรณีที่รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่เสร็จสิ้นภายใน60 วัน นับแต่วันรับอุทธรณ์ กรณีเช่นนี้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนมีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลภายใน 1 ปี นับแต่พ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 618/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องฐานปลอมเอกสารต้องระบุถึงการนำไปใช้ก่อความเสียหาย
ตามคำฟ้องของโจทก์ฐานปลอมเอกสาร โจทก์บรรยายมีใจความสำคัญแต่เพียงว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปลอมเอกสารซึ่งเป็นหนังสือมอบอำนาจรวม 2 ฉบับ โดยกรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว ซึ่งมีลายมือชื่อของนาย ย. โดยไม่ได้รับความยินยอมเท่านั้น มิได้บรรยายว่า จำเลยกระทำเพื่อนำเอาเอกสารนั้นไปใช้ในกิจการที่อาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนไว้ด้วย ฟ้องโจทก์ฐานปลอมเอกสารทั้งสองสำนวนจึงขาดองค์ประกอบอันสำคัญสำหรับความผิดฐานปลอมเอกสาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 500/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รถจักรยานยนต์รับจ้างและการแข่งขันทางการค้า: ไม่ผิดกฎหมายขนส่งทางบก
พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 5 บัญญัติว่า พ.ร.บ.นี้มิให้ใช้บังคับแก่รถจักรยานยนต์ ดังนี้ การใช้รถจักรยานยนต์เดินรับจ้างขนส่งผู้โดยสารจึงไม่จำต้องขออนุญาตจากนายทะเบียน การที่โจทก์ได้รับสัมปทานประกอบการขนส่งโดยรถขนาดเล็ก ไม่มีบทกฎหมายห้ามมิให้ผู้อื่นประกอบการขนส่งอันมีลักษณะเป็นการแย่งผลประโยชน์ของโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 500/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัมปทานขนส่งทางบกและการแข่งขันจากรถจักรยานยนต์รับจ้าง การกระทำไม่เป็นการละเมิด
พระราชบัญญัติญัติการขนส่งทางบกพ.ศ.2522มาตรา5บัญญัติว่าพระราชบัญญัติ นี้มิให้ใช้บังคับแก่รถจักรยานยนต์ดังนี้การใช้รถจักรยานยนต์เดินรับจ้างขนส่งผู้โดยสารจึงไม่จำต้องขออนุญาตจากนายทะเบียนการที่โจทก์ได้รับสัมปทานประกอบการขนส่งโดยรถขนาดเล็กไม่มีบทกฎหมายห้ามมิให้ผู้อื่นประกอบการขนส่งอันมีลักษณะเป็นการแย่งผลประโยชน์ของโจทก์การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 500/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัมปทานขนส่งกับรถจักรยานยนต์รับจ้าง: การกระทำไม่เป็นการละเมิดสิทธิ
การที่โจทก์ได้รับสัมปทานประกอบการขนส่งโดยรถขนาดเล็กนั้นไม่มีบทกฎหมายห้ามมิให้ผู้อื่นประกอบการขนส่งอันมีลักษณะเป็นการแย่งผลประโยชน์ของโจทก์การที่จำเลยใช้รถจักรยานยนต์เดินรับจ้างขนส่งผู้โดยสารทับสัมปทานของโจทก์จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ.2522มาตรา5บัญญัติว่าพระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่รถจักรยานยนต์จำเลยจึงหาจำต้องขออนุญาตจากนายทะเบียนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การบรรยายความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรโดยไม่จำกัดฐานความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันลักยาปราบวัชพืช15ลังของผู้เสียหายไปโดยทุจริตหรือมิฉะนั้นจำเลยกับพวกร่วมกันรับของโจรยาปราบวัชพืช13ลังของผู้เสียหายไว้คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมิได้มีข้อความใดระบุยืนยันหรือทำให้เข้าใจได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรเลยเพียงแต่บรรยายข้อเท็จจริงที่ปรากฏเพื่อให้ศาลวินิจฉัยเลือกลงโทษตามที่ศาลจะฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆอีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีจึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การบรรยายพฤติการณ์การกระทำความผิดเพียงพอต่อการเข้าใจข้อหา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันลักยาปราบวัชพืช15 ลัง ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต หรือมิฉะนั้นจำเลยกับพวกร่วมกันรับของโจรยาปราบวัชพืช 13 ลัง ของผู้เสียหายไว้ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมิได้มีข้อความใดระบุยืนยันหรือทำให้เข้าใจได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรเลยเพียงแต่บรรยายข้อเท็จจริงที่ปรากฏเพื่อให้ศาลวินิจฉัยเลือกลงโทษตามที่ศาลจะฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและราย-ละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
of 43