คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมพล สัตยาอภิธาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 421 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3377/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความและการไม่มีสิทธิอุทธรณ์ของบุคคลภายนอก
โจทก์และจำเลยที่ 3 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าโจทก์ยอมถอนอายัดที่ดินพร้อมบ้านตามฟ้องพร้อมทั้งมีหนังสือถึงกรมที่ดินแจ้งการถอนอายัดจนจำเลยที่ 3 สามารถทำนิติกรรมในบ้านและที่ดินได้ จำเลยที่ 3 จะต้องนำเงินมาชำระแก่โจทก์จำนวน 800,000 บาท ภายใน 1 เดือน นับแต่โจทก์มีหนังสือถึงกรมที่ดินแจ้งการถอนอายัด จำเลยที่ 3 ผิดนัดโจทก์บังคับคดีได้ทันทีในยอดเงิน 800,000 บาท โดยยอมให้ยึดที่ดินพร้อมบ้านตามฟ้องออกขายทอดตลาดดังนี้การที่โจทก์และจำเลยที่ 3 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมิได้ทำให้จำเลยที่ 2 เสียหาย และมิใช่เป็นการฉ้อฉลจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่ 2ให้การว่าขายที่ดินพร้อมบ้านตามฟ้องแก่จำเลยที่ 3 โดยสุจริต ทั้งคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นก็ไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3338/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย กรณีศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อยเรื่องริบรถจักรยานยนต์ในคดีเยาวชน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา134,134วรรคสอง,มาตรา160ทวิประมวลกฎหมายอาญามาตรา83แต่ให้รอการกำหนดโทษและคุมประพฤติไว้ส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางไม่ริบศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่าให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวพ.ศ.2534มาตรา124ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218จำเลยทั้งสี่ฎีกาขอให้ไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นการขอแก้ไขดุลพินิจของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3331/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจบังคับคดีประกัน จำเป็นต้องใช้ทนายของแผ่นดิน (พนักงานอัยการ) ไม่ใช่ศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี
เมื่อมีการผิดสัญญาประกันจำเลยเกิดขึ้น พนักงานอัยการซึ่งเป็นทนายของแผ่นดินต้องเป็นผู้ดำเนินคดีในการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานั้นตามพ.ร.บ. พนักงานอัยการ พ.ศ.2498 มาตรา 11 (8) ซึ่งหมายถึงการขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและจัดการอื่นใดในทางอรรถคดี รวมถึงการนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของผู้ประกันเพื่อเป็นผลให้ได้เงินค่าปรับตามคำสั่งศาล หาใช่หน้าที่ของศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3209/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทรัพย์ของกลางต้องพิสูจน์ความเชื่อมโยงกับความผิดฐานลักทรัพย์ก่อน จึงจะรับฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจร
เมื่อคดียังฟังไม่ได้ว่าเงินของกลางเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป ก็ไม่อาจรับฟังได้ว่าเงินของกลางดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ อันจะทำให้จำเลยมีความผิดฐานรับของโจร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2661/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายสิทธิครอบครองที่ดิน: สัญญาเลิกกันเมื่อเงื่อนไขไม่เป็นไปตามกำหนด
โจทก์จำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายสิทธิการครอบครองที่ดินโดยจำเลยผู้จะขายจะไปดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินและจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ผู้จะซื้อโดยกำหนดวันที่ไว้แน่นอน ปรากฏว่าที่ดินพิพาทยังไม่มีระวางแผนที่จึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ เมื่อกรณียังมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญา และครบกำหนดเวลาในสัญญาแล้ว ถือได้ว่าสัญญาเป็นอันเลิกกันโดยไม่มีฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 โอนส่งมอบสิทธิครอบครองแก่โจทก์ไม่ได้เมื่อสัญญาเป็นอันเลิกกัน คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยโจทก์ต้องคืนที่พิพาทให้แก่จำเลย และจำเลยที่ 1 ต้องคืนมัดจำแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่สัญญาเลิกกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2630/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งมอบทรัพย์สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยต้องส่งมอบในสภาพที่ดีและพร้อมใช้งาน
ศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาท (ทาวน์เฮาส์) จำนวน 2 ห้อง ในสภาพที่ดีพร้อมที่ดินให้โจทก์ภายในเวลาที่กำหนด หากผิดนัดยอมชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยได้โอนบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ตามกำหนด แต่บ้านหลังหนึ่งยังไม่มีฝ้าเพดานห้องน้ำและทั้งสองหลังไม่อาจใช้ไฟฟ้าได้เพราะยังไม่ได้ติดตั้งมิเตอร์ บ้านพิพาทเป็นที่อยู่อาศัย บ้านที่มีสภาพดีจะต้องมีสภาพเข้าอยู่อาศัยเป็นปกติสุขได้ ไฟฟ้ามีความจำเป็นสำหรับความเป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยสมบูรณ์ก่อนส่งมอบ จำเลยมีเวลาเกือบ 5 เดือน ในการปฎิบัติตามสัญญา แต่หาได้ตรวจสอบดูแลสภาพของบ้านพิพาทก่อนว่ามีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง หรือไม่สมบูรณ์เพื่อจะปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่ดีก่อนโอนกรรมสิทธิ์ส่งมอบไม่ แสดงว่าไม่นำพาจะปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วน ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทให้แก่โจทก์ในสภาพที่ดีแล้ว และมิใช่ข้อบกพร่องเล็กน้อย หรืออยู่นอกเหนือสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2630/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งมอบทรัพย์สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต้องส่งมอบในสภาพที่ใช้การได้ตามปกติ
ศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาท(ทาวน์เฮ้าส์)จำนวน2ห้องในสภาพที่ดีพร้อมที่ดินให้โจทก์ภายในเวลาที่กำหนดหากผิดนัดยอมชดใช้ค่าเสียหายจำเลยได้โอนบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ตามกำหนดแต่บ้านหลังหนึ่งยังไม่มีฝ้าเพดานห้องน้ำและทั้งสองหลังไม่อาจใช้ไฟฟ้าได้เพราะยังไม่ได้ติดตั้งมิเตอร์เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยสมบูรณ์ก่อนส่งมอบจำเลยมีเวลาเกือบ5เดือนในการปฏิบัติตามสัญญาแต่หาได้ตรวจสอบดูแลสภาพของบ้านพิพาทก่อนว่ามีสิ่งใดขาดตกบกพร่องหรือไม่สมบูรณ์เพื่อจะปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่ดีก่อนโอนกรรมสิทธิ์ส่งมอบไม่แสดงว่าไม่นำพาจะปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วนและมิใช่ข้อบกพร่องเล็กน้อยหรืออยู่นอกเหนือสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2617/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ค่าเช่า: การกำหนดค่าเช่าตามสัญญาเดิมเป็นเกณฑ์บังคับ แม้จะอ้างค่าเช่าในอนาคต
แม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องที่ขอให้ ขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากอาคารพิพาทว่าหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ25,000บาทและใช้อัตราดังกล่าวเป็นเกณฑ์คำนวณเรียกค่าเสียหายและศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ15,000บาทก็ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องโจทก์จำเลยนำสืบว่าจำเลยเช่าจากเจ้าของเดิมในอัตราค่าเช่าเดือนละ1,000บาทต้องฟังว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ2,000บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224เดิมซึ่งบังคับใช้ในขณะยื่นอุทธรณ์แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบถือว่าข้อเท็จจริงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2617/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเช่าในคดีขับไล่: ศาลไม่อาจใช้ค่าเช่าที่คาดการณ์ได้ หากมีหลักฐานค่าเช่าจริงในอดีต
แม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องที่ขอให้ ขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากอาคารพิพาทว่าหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ25,000บาทและใช้อัตราดังกล่าวเป็นเกณฑ์คำนวณเรียกค่าเสียหายและศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ15,000บาทก็ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องโจทก์จำเลยนำสืบว่าจำเลยเช่าจากเจ้าของเดิมในอัตราค่าเช่าเดือนละ1,000บาทต้องฟังว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ2,000บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224เดิมซึ่งบังคับใช้ในขณะยื่นอุทธรณ์แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบถือว่าข้อเท็จจริงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2617/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเช่าในสัญญาเช่าเดิมเป็นตัวกำหนดขอบเขตค่าเสียหายคดีขับไล่ หากอุทธรณ์ข้อเท็จจริงเกินกว่านั้นเป็นข้อห้าม
แม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องที่ขอให้ขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากอาคารพิพาทว่าหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 25,000 บาทและใช้อัตราดังกล่าวเป็นเกณฑ์คำนวณเรียกค่าเสียหายและศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ 15,000 บาท ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้อง โจทก์จำเลยนำสืบว่าจำเลยเช่าจากเจ้าของเดิมในอัตราค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท ต้องฟังว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เดิมซึ่งบังคับใช้ในขณะยื่นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวอีก
of 43