คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมพล สัตยาอภิธาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 421 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเป็นนายหน้าสลากกินรวบเข้าข่ายจัดให้มีการพนัน
การที่จำเลยที่ 1 เป็นนายหน้ารับซื้อหรือขายสลากกินรวบให้แก่ลูกค้าเป็นการตัดตอนระหว่างลูกค้ากับเจ้ามือเพื่อความสะดวกในการเล่นการพนันประเภทนี้ หากจำเลยที่ 1 ไม่รับซื้อสลากกินรวบมาตั้งแต่ต้น การเล่นการพนันสลากกินรวบรายนี้ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนั้นเพียงแต่จำเลยที่ 1 ได้รับซื้อหรือขายสลากกินรวบไป ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้จัดให้มีการเล่นการพนันตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478มาตรา 12 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทำให้สัญญาสิ้นสุด และจำเลยต้องคืนมัดจำเนื่องจากกรรมสิทธิ์ถูกโอนให้ผู้อื่น
ทั้งโจทก์และจำเลยไม่ได้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนดในสัญญา โจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยไม่ชำระหนี้ เพราะโจทก์ก็มิได้ชำระหนี้ตอบแทนเช่นกัน แต่การที่ต่อมาจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่บุคคลภายนอกย่อมทำให้การชำระหนี้ คือการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่โจทก์กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยต้องรับผิดชอบ ดังนี้ จำเลยจึงต้องคืนมัดจำแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 378 (3) ทั้งการฟ้องคดีเรียกมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหายของโจทก์ในกรณีนี้เท่ากับเป็นการเลิกสัญญาตามมาตรา389 อยู่แล้ว จำเลยต้องคืนมัดจำพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายที่ดินไม่สมบูรณ์ การโอนกรรมสิทธิ์ให้บุคคลภายนอกทำให้จำเลยต้องคืนมัดจำ
ทั้งโจทก์และจำเลยไม่ได้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนดในสัญญาโจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยไม่ชำระหนี้เพราะโจทก์ก็มิได้ชำระหนี้ตอบแทนเช่นกันแต่การที่ต่อมาจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่บุคคลภายนอกย่อมทำให้การชำระหนี้คือการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่โจทก์กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยต้องรับผิดชอบดังนี้จำเลยจึงต้องคืนมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา378(3)ทั้งการฟ้องคดีเรียกมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหายของโจทก์ในกรณีนี้เท่ากับเป็นการเลิกสัญญาตามมาตรา389อยู่แล้วจำเลยต้องคืนมัดจำพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขาย: การไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และผลกระทบต่อการคืนมัดจำเมื่อมีการขายให้ผู้อื่น
เมื่อโจทก์และจำเลยไม่ได้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามกำหนดในสัญญาจะซื้อจะขายโจทก์จึงไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยไม่ชำระหนี้เพราะโจทก์ก็มิได้ชำระหนี้ตอบแทน แต่การที่ต่อมาจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่บุคคลภายนอกย่อมทำให้การชำระหนี้คือการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่โจทก์กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงต้องคืนมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(3)ทั้งการฟ้องคดีเรียกมัดจำคืนและเรียกค่าเสียหายเท่ากับเป็นการเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 389 อยู่แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดลักทรัพย์ที่รวมอยู่ในความผิดปล้นทรัพย์ ศาลลงโทษฐานลักทรัพย์ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปล้นเอาเงินสดของส.ไป โดยร่วมกันใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทง ส. เป็นเหตุให้ ส.ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 288, 289 และ 340 คดีฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 ได้ล้วงเอาเงินสดจากผู้ตายไปจริง อันเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกอีกคนหนึ่งลักทรัพย์ของทายาทผู้ตายเท่านั้น ข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังเลยไปถึงว่า จำเลยที่ 2ได้ร่วมกับคนร้ายอื่นชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์หรือฆ่าผู้ตายตามฟ้อง ซึ่งความผิดฐานลักทรัพย์เป็นความผิดที่มีการกระทำรวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานลักทรัพย์ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย
ลำพังแต่คำให้การซัดทอดในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคนร้ายด้วยกัน ย่อมไม่อาจฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาจากปล้นทรัพย์ฆ่าเป็นลักทรัพย์ และการรับฟังคำซัดทอดของจำเลยร่วม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปล้นเอาเงินสดของส.ไปโดยร่วมกันใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทง ส. เป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,289และ340คดีฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่2ได้ล้วงเอาเงินสดจากผู้ตายไปจริงอันเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกอีกคนหนึ่งลักทรัพย์ของทายาทผู้ตายเท่านั้นข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังเลยไปถึงว่าจำเลยที่2ได้ร่วมกับคนร้ายอื่นชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์หรือฆ่าผู้ตายตามฟ้องซึ่งความผิดฐานลักทรัพย์เป็นความผิดที่มีการกระทำรวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่2ฐานลักทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา192วรรคท้าย ลำพังแต่คำให้การซัดทอดในชั้นสอบสวนของจำเลยที่2ซึ่งเป็นคนร้ายด้วยกันย่อมไม่อาจฟังลงโทษจำเลยที่1ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7571/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์เรื่องความผิด
แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้องแต่คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 3โดยโจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิด ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มีอำนาจหยิบยกพยานหลักฐานในสำนวนขึ้นมาวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดดังฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7571/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์
แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์ว่าจำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้อง แต่คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยโจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิด ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มีอำนาจหยิบยกพยานหลักฐานในสำนวนขึ้นมาวินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดดังฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7536/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินหลังการสิ้นสุดการสมรสด้วยการเสียชีวิต และผลของการประนีประนอมยอมความ
เมื่อ น.ถึงแก่ความตาย การสมรสย่อมสิ้นสุดลง ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1501 การคิดส่วนทรัพน์สินระหว่างผู้ตายกับจำเลย มีผลตั้งแต่วันที่การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายนั้น และการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาให้อยู่ในข้อบังคับของบทบัญญัติว่าด้วยการหย่าโดยความยินยอมทั้งสองฝ่าย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1625สินสมรสของ น.กับจำเลยจึงแยกออกจากกันทันทีในวันที่ น.ตาย สินสมรสครึ่งหนึ่งเป็นมรดกของ น. ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1533ดังนั้น การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความภายหลังจากแยกสินสมรสแล้วว่ายอมนำทรัพย์มรดกของ น.ชำระให้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำทรัพย์ส่วนของจำเลยมาชำระหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7536/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสหลังการสิ้นสุดการสมรสด้วยการเสียชีวิต และขอบเขตของสัญญาประนีประนอมยอมความ
เมื่อ น.ถึงแก่ความตาย การสมรสย่อมสิ้นสุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1501 การคิดส่วนทรัพย์สินระหว่างผู้ตายกับจำเลย มีผลตั้งแต่วันที่การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายนั้น และการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาให้อยู่ในข้อบังคับของบทบัญญัติว่าด้วยการหย่าโดยความยินยอมทั้งสองฝ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625สินสมรสของ น.กับจำเลยจึงแยกออกจากกันทันทีในวันที่น.ตาย สินสมรสครึ่งหนึ่งเป็นมรดกของ น. ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1533 ดังนั้น การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความภายหลังจากแยกสินสมรสแล้วว่ายอมนำทรัพย์มรดกของ น. ชำระให้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำทรัพย์ส่วนของจำเลยมาชำระหนี้
of 43