พบผลลัพธ์ทั้งหมด 421 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7367/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีโมฆกะการสมรส: การสิ้นสุดของสมรสด้วยการตายและผลกระทบต่อสิทธิทายาท
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิได้มีการตั้งเป็นประเด็นแห่งคดีไว้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) บิดาโจทก์ถึงแก่ความตายไปแล้วก่อนโจทก์ฟ้อง การสมรสระหว่างบิดาโจทก์กับจำเลยได้ขาดจากกันเพราะเหตุบิดาโจทก์ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1501 แล้ว การสมรสนั้นจึงไม่มีผลกระทบกระเทือนหรือโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในฐานะทายาทของบิดาคู่สมรสเดิมอันจะก่อให้เกิดสิทธิหรืออำนาจที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะ ทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวแสดงว่าจำเลยได้กระทำสิ่งใดอันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ เช่น สิทธิในครอบครัว สิทธิในมรดกของบิดาโจทก์ผู้ตายหรือสิทธิอื่นใด ซึ่งจะเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ถือว่าตามฟ้องไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7367/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีโมฆะสมรส: ทายาทไม่มีสิทธิฟ้องแทน หากไม่มีข้อโต้แย้งสิทธิ
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้มิได้มีการตั้งเป็นประเด็นแห่งคดีไว้ ศาลชั้นต้นและศาล-อุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามนัย ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
บิดาโจทก์ถึงแก่ความตายไปแล้วก่อนโจทก์ฟ้อง การสมรสระหว่างบิดาโจทก์กับจำเลยได้ขาดจากกันเพราะเหตุบิดาโจทก์ถึงแก่ความตายตาม ป.พ.พ.มาตรา 1501 แล้ว การสมรสนั้นจึงไม่มีผลกระทบกระเทือนหรือโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในฐานะทายาทของบิดาคู่สมรสเดิมอันจะก่อให้เกิดสิทธิหรืออำนาจที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะ ทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวแสดงว่าจำเลยได้กระทำสิ่งใดอันเป็นการโต้แย้งกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ เช่น สิทธิในครอบครัว สิทธิในมรดกของบิดาโจทก์ผู้ตาย หรือสิทธิอื่นใด ซึ่งจะเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยตามป.วิ.พ. มาตรา 55 ถือว่าตามคำฟ้องไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
บิดาโจทก์ถึงแก่ความตายไปแล้วก่อนโจทก์ฟ้อง การสมรสระหว่างบิดาโจทก์กับจำเลยได้ขาดจากกันเพราะเหตุบิดาโจทก์ถึงแก่ความตายตาม ป.พ.พ.มาตรา 1501 แล้ว การสมรสนั้นจึงไม่มีผลกระทบกระเทือนหรือโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในฐานะทายาทของบิดาคู่สมรสเดิมอันจะก่อให้เกิดสิทธิหรืออำนาจที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะ ทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวแสดงว่าจำเลยได้กระทำสิ่งใดอันเป็นการโต้แย้งกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ เช่น สิทธิในครอบครัว สิทธิในมรดกของบิดาโจทก์ผู้ตาย หรือสิทธิอื่นใด ซึ่งจะเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยตามป.วิ.พ. มาตรา 55 ถือว่าตามคำฟ้องไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7367/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีโมฆะการสมรส: การสิ้นสุดการสมรสด้วยการตายตัดสิทธิทายาทในการฟ้อง
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้มิได้มีการตั้งเป็นประเด็นแห่งคดีไว้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค2ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5) บิดาโจทก์ถึงแก่ความตายไปแล้วก่อนโจทก์ฟ้องการสมรสระหว่างบิดาโจทก์กับจำเลยได้ขาดจากกันเพราะเหตุบิดาโจทก์ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1501แล้วการสมรสนั้นจึงไม่มีผลกระทบกระเทือนหรือโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในฐานะทายาทของบิดาคู่สมรสเดิมอันจะก่อให้เกิดสิทธิหรืออำนาจที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวแสดงว่าจำเลยได้กระทำสิ่งใดอันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์เช่นสิทธิในครอบครัวสิทธิในมรดกของบิดาโจทก์ผู้ตายหรือสิทธิอื่นใดซึ่งจะเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55ถือว่าตามฟ้องไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7061/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุฟ้องหย่า: พฤติกรรมจำเลยไม่ถึงขั้นเป็นเหตุให้หย่าได้ แม้มีพฤติกรรมดื่มสุรา ตกปลา และอ้างว่ามีชู้
โจทก์ทราบดีก่อนสมรสกับจำเลยว่า จำเลยชอบดื่มสุราและไปตกปลา แต่จำเลยดื่มสุราแล้วไม่เคยก่อความเสียหาย ส่วนการไปตกปลาและนอนค้างที่บ่อปลาจำเลยก็มิได้ไปค้างทุกวัน จำเลยอยู่บ้านสัปดาห์ละ 2 - 3 วัน แม้โจทก์ย้ายไปอยู่กับบิดามารดาแล้ว จำเลยยังไปหาโจทก์และช่วยออกเงินต่อเติมห้องเพื่อใช้หลับนอนและไปเยี่ยมเยียนร่วมหลับนอนกับโจทก์ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยร่วมประเวณีกับหญิงอื่นทำให้โจทก์เดือดร้อนเกินควรเพราะเกรงว่าจำเลยจะนำโรคร้ายมาแพร่แก่โจทก์ ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยได้รับโรคร้ายจากจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7061/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่า จำเลยประพฤติชั่วหรือไม่เพียงพอต่อการพิพากษาให้หย่าได้
โจทก์ทราบดีก่อนสมรสกับจำเลยว่า จำเลยชอบดื่มสุราและไปตกปลาแต่จำเลยดื่มสุราแล้วไม่เคยก่อความเสียหาย ส่วนการไปตกปลาและนอนค้างที่บ่อปลาจำเลยก็มิได้ไปค้างทุกวัน จำเลยอยู่บ้านสัปดาห์ละ2-3 วัน แม้โจทก์ย้ายไปอยู่กับบิดามารดาแล้ว จำเลยยังไปหาโจทก์และช่วยออกเงินต่อเติมห้องเพื่อใช้หลับนอนและไปเยี่ยมเยียนร่วมหลับนอนกับโจทก์ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยร่วมประเวณีกับหญิงอื่นทำให้โจทก์เดือดร้อนเกินควรเพราะเกรงว่าจำเลยจะนำโรคร้ายมาแพร่แก่โจทก์ ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยได้รับโรคร้ายจากจำเลยทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6749/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอห้ามกระทำละเมิดระหว่างการพิจารณาคดี: การกรีดยางพาราในที่พิพาท
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลย เข้ากรีดยางพาราในที่พิพาทด้วย ดังนั้นการขอให้ห้ามจำเลยกรีด ยางพาราในที่พิพาทก่อนศาลมีคำพิพากษาจึงเป็นการห้ามมิให้จำเลย กระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๕๔(๒)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6749/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งห้ามกรีดยางชั่วคราวเกี่ยวข้องกับการฟ้องละเมิดหรือไม่? ศาลพิจารณาจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยเข้ากรีดยางพาราในที่พิพาทด้วย ดังนั้นการขอให้ห้ามจำเลยกรีดยางพาราในที่พิพาทก่อนศาลมีคำพิพากษาจึงเป็นการห้ามมิให้จำเลยกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6539/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในคดีเยาวชนที่ศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย่อมเป็นเหตุให้ฎีกาต้องห้ามตามกฎหมาย
การเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง มิได้เป็นการลงโทษจำเลยที่ 1 โดยจำคุกเกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 124ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายจำหน้าจำเลยไม่ได้ คำเบิกความของผู้เสียหายและเอกสารพยานโจทก์มีพิรุธ คำเบิกความของผู้เสียหายคดีนี้แตกต่างกับคำเบิกความอีกคดีหนึ่งในข้อสำคัญ และจำเลยให้การชั้นสอบสวนเพราะถูกบังคับ เป็นการฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้าม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6539/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามฎีกา
การเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวจำเลยไปฝีกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลาง มิได้เป็นการลงโทษจำเลยที่ 1 โดยจำคุกเกิน5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว ฯ มาตรา 124 ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายจำหน้าจำเลยไม่ได้ คำเบิกความของผู้เสียหายและเอกสารพยานโจทก์มีพิรุธ คำเบิกความของผู้เสียหายคดีนี้แตกต่างกับคำเบิกความอีกคดีหนึ่งในข้อสำคัญ และจำเลยให้การชั้นสอบสวนเพราะถูกบังคับ เป็นการฎีกาเกี่ยวกับดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้าม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6538/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการทำร้ายร่างกาย: พิจารณาจากลักษณะการลงมือและเหตุจูงใจ
มีดพร้าของกลางเป็นมีดสำหรับใช้มือทั้งสองจับเพราะด้ามมีดยาว 14 นิ้ว แต่เก้าอี้ไม้สักที่ถูกจำเลยฟันเป็นรอยถากเนื้อไม้หายไปเล็กน้อยแสดงว่าจำเลยจับมีดพร้าของกลางด้วยมือข้างเดียวและฟันไม้แรงนัก อีกทั้งจำเลยทะเลาะกับมารดา มิได้ทะเลาะกับผู้เสียหายเหตุที่จำเลยฟันผู้เสียหายก็เพราะผู้เสียหายเข้าไปขอมีดจากจำเลยจำเลยจึงฟันผู้เสียหายเพื่อระบายความโกรธนอกจากนี้เมื่อจำเลยฟันไม่ถูก จำเลยก็มิได้ฟันซ้ำอีก จนญาติพี่น้องเข้าแย่งมีดทำให้มีดหล่นจากมือจำเลย เช่นนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยฟันผู้เสียหายโดยมีเพียงเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น