พบผลลัพธ์ทั้งหมด 938 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6884/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประโยชน์ทดแทนประกันสังคมกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน: ข้อจำกัดอัตราค่าบริการทางการแพทย์ตามประกาศ สปส.
ลูกจ้างที่จำต้องได้รับการบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉินซึ่งเข้ารับการบริการทางการแพทย์ประเภทผู้ป่วยใน ณ สถานพยาบาลอื่น ตามประกาศสำนักงานประกันสังคมเรื่อง กำหนดจำนวนเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ ข้อ 4 แม้ลูกจ้างดังกล่าวจะเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลถึง 21 วัน และจำเป็นต้องอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู.11 วันก็ตาม ลูกจ้างนั้นก็มีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์ตามข้อ 4.1 คือจ่ายเป็นค่าบริการทางการแพทย์ เฉพาะค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปจริงตามความจำเป็นภายในระยะเวลา 72ชั่วโมง นับแต่เวลาที่เข้ารับการรักษาครั้งแรกโดยไม่รวมระยะเวลาในวันหยุดราชการภายใต้เงื่อนไขของข้อ 4.1.2 เท่านั้น และลูกจ้างนั้นไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าบริการทางการแพทย์จากสำนักงานประกันสังคมเกินกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในประกาศดังกล่าว
สำนักงานประกันสังคมไม่สั่งจ่ายเงินค่าห้องและค่าอาหารตามข้อ 4.1.2(4)ให้แก่ลูกจ้างเนื่องจากเห็นว่าในช่วงระยะเวลาที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์ ลูกจ้างเข้ารับการรักษาอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู ไม่ต้องเสียค่าห้องหรือค่าอาหาร สำนักงานประกันสังคมสั่งจ่ายเฉพาะค่าบริการทางการแพทย์แก่ลูกจ้างตามข้อ 4.1 จึงเป็นการถูกต้องแล้ว และมิใช่เป็นกรณีที่ขัดต่อพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533มาตรา 63
การที่คณะกรรมการอุทธรณ์พิจารณาสั่งจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้แก่ลูกจ้างเพิ่มเติมจากคำสั่งของสำนักงานประกันสังคม เป็นการจ่ายเพิ่มให้ตามรายการ 20 รายการจากที่โจทก์ขอมา 21 รายการ โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 87 และประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่อง กำหนดจำนวนเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ อันเป็นคุณแก่โจทก์แล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์
สำนักงานประกันสังคมไม่สั่งจ่ายเงินค่าห้องและค่าอาหารตามข้อ 4.1.2(4)ให้แก่ลูกจ้างเนื่องจากเห็นว่าในช่วงระยะเวลาที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์ ลูกจ้างเข้ารับการรักษาอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู ไม่ต้องเสียค่าห้องหรือค่าอาหาร สำนักงานประกันสังคมสั่งจ่ายเฉพาะค่าบริการทางการแพทย์แก่ลูกจ้างตามข้อ 4.1 จึงเป็นการถูกต้องแล้ว และมิใช่เป็นกรณีที่ขัดต่อพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533มาตรา 63
การที่คณะกรรมการอุทธรณ์พิจารณาสั่งจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้แก่ลูกจ้างเพิ่มเติมจากคำสั่งของสำนักงานประกันสังคม เป็นการจ่ายเพิ่มให้ตามรายการ 20 รายการจากที่โจทก์ขอมา 21 รายการ โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 87 และประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่อง กำหนดจำนวนเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ อันเป็นคุณแก่โจทก์แล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6884/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการรับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์กรณีฉุกเฉิน: ข้อจำกัดตามประกาศสำนักงานประกันสังคม และการปฏิบัติตามเงื่อนไข
โจทก์เกิดอาการชักและน้ำลายฟูมปากและหมดสติอันเป็นผลมาจากเส้นเลือดอุดตันในสมองจำเป็นต้องได้รับการบริการทางการแพทย์อย่างฉุกเฉิน ซึ่งได้เข้ารับการบริการทางการแพทย์ประเภทผู้ป่วยใน ณ สถานพยาบาลอื่น ตามประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่องกำหนดจำนวนเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ ฉบับลงวันที่30 มีนาคม 2538 ข้อ 4 โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์ตามอัตราที่กำหนดไว้ตามข้อ 4.1 เฉพาะค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปจริงตามความจำเป็นภายในระยะเวลา72 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่โจทก์เข้ารับการรักษาครั้งแรกโดยไม่รวมระยะเวลาในวันหยุดราชการ ดังนั้นแม้ว่าโจทก์จะเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเวชธานีถึง21 วัน และจำเป็นต้องอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู.11 วัน ก็ตาม โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าบริการทางการแพทย์จากสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่รามอินทรา เกินกว่าอัตราที่กำหนดไว้ดังกล่าว ทั้งในช่วงระยะเวลาที่โจทก์มีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์โจทก์เข้ารับการรักษาอยู่ในห้องไอ.ซี.ยู. โจทก์ก็ไม่ต้องเสียค่าห้องหรือค่าอาหารแต่อย่างใดสำนักงานประกันสังคมจึงไม่จำต้องจ่ายค่าห้องและค่าอาหารให้โจทก์ และกรณีมิใช่เป็นการขัดต่อ พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 63 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6881/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลแรงงานกลาง (สงขลา) และการยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาคดี
เมื่อยังไม่มีพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดสงขลาขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 7ศาลแรงงานกลางจึงมีเขตอำนาจในท้องที่จังหวัดสงขลาด้วย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 60 ซึ่งตามมาตรา 60 นี้บัญญัติว่า เมื่อศาลแรงงานกลาง (สงขลา) สั่งรับคดีไว้พิจารณาแล้วให้ศาลแรงงานกลางออกไปนั่งพิจารณาพิพากษา ณ ศาลจังหวัดแห่งท้องที่นั้น ศาลแรงงานกลาง (สงขลา) จึงเป็นศาลแรงงานกลางที่ออกไปนั่งพิจารณาพิพากษาที่จังหวัดสงขลาดังนั้น ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาต่อศาลแรงงานกลางได้ โดยไม่จำต้องอ้างเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 10
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6881/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลแรงงานกลาง (สงขลา) และการยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาคดี
เนื่องจากยังไม่มีพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดสงขลาขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 7 ศาลแรงงานกลางจึงมีเขตอำนาจในท้องที่จังหวัดสงขลาด้วยตามมาตรา 60ศาลแรงงานกลาง (สงขลา) จึงเป็นศาลแรงงานกลางที่ออกไปนั่งพิจารณาพิพากษาที่จังหวัดสงขลา ทนายจำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาต่อศาลแรงงานกลางได้ โดยไม่จำต้องอ้างเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 10
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6881/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลแรงงานกลาง (สงขลา) และสิทธิการเลื่อนการพิจารณาคดี
เมื่อยังไม่มี พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานจังหวัดสงขลาขึ้นตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 7ศาลแรงงานกลางจึงมีเขตอำนาจในท้องที่จังหวัดสงขลาด้วย ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 60 ซึ่งตามมาตรา 60นี้บัญญัติว่า เมื่อศาลแรงงานกลาง (สงขลา) สั่งรับคดีไว้พิจารณาแล้วให้ศาลแรงงานกลางออกไปนั่งพิจารณาพิพากษา ณ ศาลจังหวัดแห่งท้องที่นั้น ศาลแรงงานกลาง(สงขลา) จึงเป็นศาลแรงงานกลางที่ออกไปนั่งพิจารณาพิพากษาที่จังหวัดสงขลาดังนั้น ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาต่อศาลแรงงานกลางได้ โดยไม่จำต้องอ้างเหตุสุดวิสัย ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 10
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6770/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาใหม่ในคดีแรงงาน: ศาลต้องไต่สวนเหตุจำเป็นก่อนยกคำร้อง
คดีแรงงาน จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่อ้างว่า ในวันนัดพิจารณาทนายจำเลยติดว่าความที่ศาลอื่นที่ได้นัดไว้ก่อนแล้ว จึงทำคำให้การ คำร้องขอเลื่อนการพิจารณา และใบแต่งทนายความมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นต่อศาลแรงงานระหว่างเดินทางเสมียนทนายจำเลยประสบปัญหาการจราจรติดขัดจึงเปลี่ยนเส้นทางไปใช้ทางด่วน แต่รถแท็กซี่ที่เสมียนทนายจำเลยโดยสารมาเครื่องยนต์เสียอยู่บนทางด่วนเสมียนทนายจำเลยมาถึงศาลแรงงานเลยกำหนดนัดเพียง 15 นาที เสมียนทนายจำเลยเข้าไปนั่งรอในห้องพิจารณา แต่ผู้พิพากษาไม่ออกนั่งพิจารณาเมื่อไปตรวจสอบที่ศูนย์หน้าบัลลังก์จึงทราบว่าได้ย้ายห้องพิจารณาไปที่ห้องพิจารณาอื่น เสมียนทนายจำเลยตามไปห้องพิจารณานั้น แต่ปรากฏว่าผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดีนี้ และเสร็จการพิจารณาก่อนเสมียนทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาต่อผู้พิพากษาในห้องพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่าเจ้าหน้าที่งานรับฟ้องของศาลแรงงานประทับตรารับในคำให้การ คำร้องขอเลื่อนการพิจารณา และใบแต่งทนายความของจำเลยระบุว่าได้ร้องขอเลื่อนคดีไว้ก่อนเวลาที่ผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดีตามที่ระบุไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ดังนี้ หากข้อเท็จจริงเป็นตามคำร้องจำเลยดังกล่าวก็แสดงว่ามีเหตุจำเป็น ซึ่งศาลแรงงานควรไต่สวนถึงเหตุแห่งความจำเป็นนั้นก่อนตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 41 ที่ศาลแรงงานกลางสั่งยกคำร้องโดยไม่ไต่สวนก่อนจึงไม่ชอบ
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 41 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วว่าในการขอพิจารณาใหม่ให้โจทก์หรือจำเลยแถลงให้ศาลแรงงานทราบถึงความจำเป็นที่ไม่อาจมาศาลได้ และศาลแรงงานมีอำนาจไต่สวนถึงเหตุแห่งความจำเป็นนั้น ไม่ได้บัญญัติให้โจทก์หรือจำเลยต้องกล่าวโดยละเอียดถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแรงงานด้วย จึงไม่นำ ป.วิ.พ. มาตรา 208วรรคสอง มาอนุโลมใช้ในคดีแรงงาน
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 41 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วว่าในการขอพิจารณาใหม่ให้โจทก์หรือจำเลยแถลงให้ศาลแรงงานทราบถึงความจำเป็นที่ไม่อาจมาศาลได้ และศาลแรงงานมีอำนาจไต่สวนถึงเหตุแห่งความจำเป็นนั้น ไม่ได้บัญญัติให้โจทก์หรือจำเลยต้องกล่าวโดยละเอียดถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแรงงานด้วย จึงไม่นำ ป.วิ.พ. มาตรา 208วรรคสอง มาอนุโลมใช้ในคดีแรงงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6770/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาใหม่ในคดีแรงงาน: ศาลต้องไต่สวนเหตุจำเป็นที่จำเลยไม่สามารถมาศาลได้ก่อนตัดสิน
คดีแรงงาน จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่อ้างว่า ในวันนัดพิจารณาทนายจำเลยติดว่าความที่ศาลอื่นที่ได้นัดไว้ก่อนแล้ว จึงทำคำให้การคำร้องขอเลื่อนการพิจารณา และใบแต่งทนายความมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นต่อศาลแรงงานระหว่างเดินทางเสมียนทนายจำเลยประสบปัญหาการจราจรติดขัดจึงเปลี่ยนเส้นทางไปใช้ทางด่วน แต่รถแท็กซี่เสมียนจำเลยโดยสารมาเครื่องยนต์เสียอยู่บนทางด่วนเสมียนทนายจำเลยมาถึงศาลแรงงานเลยกำหนดนัดเพียง 15 นาที เสมียนทนายจำเลยเข้าไปนั่งรอในห้องพิจารณา แต่ผู้พิพากษาไม่ออกนั่งพิจารณาเมื่อไปตรวจสอบที่ศูนย์หน้าบัลลังก์จึงทราบว่าได้ย้ายห้องพิจารณาไปที่ห้องพิจารณาอื่น เสมียนทนายจำเลยตามไปห้องพิจารณานั้น แต่ปรากฏว่า ผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดีนี้ และเสร็จการพิจารณาก่อนเสมียนทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาต่อผู้พิพากษาให้ห้องพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่าเจ้าหน้าที่งานรับฟ้องของศาลแรงงานประทับตรารับในคำให้การ คำร้องขอเลื่อนการพิจารณา และใบแต่งทนายความของจำเลยระบุว่า ได้ร้องขอเลื่อนคดีไว้ก่อนเวลาที่ผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดีตามที่ระบุไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ดังนี้ หากข้อเท็จจริงเป็นตามคำร้องจำเลยดังกล่าวก็แสดงว่า มีเหตุจำเป็น ซึ่งศาลแรงงานควรไต่สวนถึงเหตุแห่งความจำเป็นนั้นก่อนตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 41 ที่ศาลแรงงานกลางสั่งยกคำร้องโดยไม่ไต่สวนก่อนจึงไม่ชอบ
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 41 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วว่าในการขอพิจารณาใหม่ให้โจทก์หรือจำเลยแถลงให้ศาลแรงงานทราบถึงความจำเป็นที่ไม่อาจมาศาลได้ และศาลแรงงานมีอำนาจไต่สวนถึงเหตุแห่งความจำเป็นนั้น ไม่ได้บัญญัติให้โจทก์หรือจำเลยต้องกล่าวโดยละเอียดถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแรงงานด้วย จึงไม่นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง มาอนุโลมใช้ในคดีแรงงาน
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 41 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วว่าในการขอพิจารณาใหม่ให้โจทก์หรือจำเลยแถลงให้ศาลแรงงานทราบถึงความจำเป็นที่ไม่อาจมาศาลได้ และศาลแรงงานมีอำนาจไต่สวนถึงเหตุแห่งความจำเป็นนั้น ไม่ได้บัญญัติให้โจทก์หรือจำเลยต้องกล่าวโดยละเอียดถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแรงงานด้วย จึงไม่นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง มาอนุโลมใช้ในคดีแรงงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6767-6769/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างที่มีเงื่อนไขต่ออายุได้ ไม่ถือเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดเวลาแน่นอน จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย
สัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจำเลยระบุว่า สัญญาฉบับนี้มีระยะเวลา 24 เดือน จากวันเริ่มจ้าง แต่อาจมีการทำข้อตกลงกันใหม่ก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุดโดยเป็นที่ยอมรับทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อข้อตกลงการจ้างมีเงื่อนไขที่โจทก์กับจำเลยจะตกลงจ้างกันต่อไป ถือได้ว่าข้อความดังกล่าวเป็นการจ้างที่มิได้กำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ตามสัญญา จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6689/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินผลตอบแทนที่จ่ายให้ลูกจ้างควรรวมเป็นค่าจ้าง หากเป็นค่าตอบแทนการทำงานปกติ
ตามสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยตกลงจ่ายเงินเดือนเดือนละ65,000 บาท และเงินผลตอบแทนอีกเดือนละ 15,000 บาท ให้แก่โจทก์โดยจำเลยไม่จัดรถยนต์และค่าใช้จ่ายใดทางด้านรถยนต์ให้โจทก์ แต่เงินผลตอบแทนดังกล่าวต้องนำรวมเข้าเสมือนเป็นรายได้ที่ได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน เงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์อีกเดือนละ 15,000 บาท จึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานของโจทก์ในอัตราที่แน่นอนเท่ากันทุกเดือน ทำนองเดียวกับเงินเดือน เงินผลตอบแทนที่จำเลยจ่ายแก่โจทก์ดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6689/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าตอบแทนที่จ่ายให้ลูกจ้างโดยไม่มีรถยนต์ให้ ถือเป็นค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน
ตามสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยตกลงจ่ายเงินเดือนเดือนละ 65,000 บาทและเงินผลตอบแทนอีกเดือนละ 15,000 บาท ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยไม่จัดรถยนต์และค่าใช้จ่ายใดทางด้านรถยนต์ให้โจทก์ แต่เงินผลตอบแทนดังกล่าวต้องนำรวมเข้าเสมือนเป็นรายได้ที่ได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์อีกเดือนละ 15,000 บาท เป็นเงินที่จำเลยจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานของโจทก์ในอัตราที่แน่นอนเท่ากันทุกเดือนทำนองเดียวกับเงินเดือน จึงเป็นค่าจ้าง