คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อร่าม หุตางกูร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 938 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3232/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องขึ้นอยู่กับข้ออ้างในคำฟ้อง หากข้ออ้างขัดแย้งกับที่ระบุไว้เดิม ศาลจะไม่รับฟัง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานโดยกำหนดประเด็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของสินค้าที่บรรทุกมาในรถยนต์คันที่ถูกชนหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าอันเป็นสินค้าตามประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเป็นของ ว. ดังนั้น โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด การที่โจทก์อุทธรณ์อ้างว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองอุปกรณ์ไฟฟ้าดังกล่าว โจทก์ต้องรับผิดต่อ ว.ในความเสียหายของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์และโจทก์ได้ใช้ค่าเสียหายให้แก่ ว.แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้นั้น หากโจทก์ระบุข้อเท็จจริงดังกล่าวมาในคำฟ้อง โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ แต่เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุข้อความตามที่โจทก์กล่าวอ้าง กลับระบุว่าโจทก์เป็นเจ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าเสียเองอันเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้าดังกล่าวหรือไม่ ดังนี้เรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างจึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟังและวินิจฉัยว่าโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2996/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาก่อสร้างโดยปริยายและการจ่ายค่าแรงงานแทนลูกจ้างเดิม
จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ 11 คูหาโจทก์ได้ก่อสร้างมาระยะหนึ่งก็หยุดไม่ทำต่อไป เมื่อโจทก์ทิ้งงานแล้ว จำเลยได้ไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน โดยระบุแสดงเจตนาไว้ว่าไม่ให้โจทก์มาเกี่ยวข้อง ในการก่อสร้างต่อไป และจำเลยได้สอบถามคนงานว่าสามารถทำงานต่อไปได้หรือไม่ หัวหน้าคนงานของโจทก์ก็ตอบว่าสามารถทำงานต่อไปได้แม้จะไม่มีโจทก์ก็ตามและได้ทำงานต่อไปจนเสร็จโดยจำเลยเป็นผู้จ่ายค่าแรงให้แก่คนงานดังกล่าว การที่โจทก์ไม่ประสงค์จะทำงานให้จำเลยโดยทิ้งงานไป จำเลยก็แสดงเจตนาที่ไม่ต้องการให้โจทก์ทำงานตามสัญญาต่อไปอีก สัญญาก่อสร้างอาคารระหว่างโจทก์จำเลย เป็นอันเลิกกันโดยปริยาย หลังจากโจทก์ทิ้งงานแล้ว คนงานอื่น ๆ ของโจทก์อีกประมาณ80 คน ก็ทำงานต่อในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลย เช่นนี้คนงานของโจทก์ที่ทำงานต่อไปจึงทำในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยมิใช่ในฐานะเป็นลูกจ้างของโจทก์ การที่จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่คนงานที่ทำงานหลังจากโจทก์ทิ้งงานต่อไปจนเสร็จดังกล่าวหาใช่เป็นการจ่ายแทนโจทก์ จำเลยจึงไม่อาจเรียกค่าแรงงานในส่วนนี้จากโจทก์ตามฟ้องแย้งได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2996/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาก่อสร้างโดยปริยายและการจ่ายค่าแรงงาน
จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ 11 คูหา โจทก์ได้ก่อสร้างมาระยะหนึ่งก็หยุดไม่ทำต่อไป เมื่อโจทก์ทิ้งงานแล้ว จำเลยได้ไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน โดยระบุแสดงเจตนาไว้ว่าไม่ให้โจทก์มาเกี่ยวข้องในการก่อสร้างต่อไป และจำเลยได้สอบถามคนงานว่าสามารถทำงานต่อไปได้หรือไม่ หัวหน้าคนงานของโจทก์ก็ตอบว่าสามารถทำงานต่อไปได้แม้จะไม่มีโจทก์ก็ตามและได้ทำงานต่อไปจนเสร็จโดยจำเลยเป็นผู้จ่ายค่าแรงให้แก่คนงานดังกล่าว การที่โจทก์ไม่ประสงค์จะทำงานให้จำเลยโดยทิ้งงานไป จำเลยก็แสดงเจตนาที่ไม่ต้องการให้โจทก์ทำงานตามสัญญาต่อไปอีก สัญญาก่อสร้างอาคารระหว่างโจทก์จำเลย เป็นอันเลิกกันโดยปริยาย
หลังจากโจทก์ทิ้งงานแล้ว คนงานอื่น ๆ ของโจทก์อีกประมาณ80 คน ก็ทำงานต่อในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลย เช่นนี้ คนงานของโจทก์ที่ทำงานต่อไปจึงทำในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลย มิใช่ในฐานะเป็นลูกจ้างของโจทก์ การที่จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่คนงานที่ทำงานหลังจากโจทก์ทิ้งงานต่อไปจนเสร็จดังกล่าวหาใช่เป็นการจ่ายแทนโจทก์ จำเลยจึงไม่อาจเรียกค่าแรงงานในส่วนนี้จากโจทก์ตามฟ้องแย้งได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2941/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถาน: เหตุอันสมควรและการพิสูจน์เจตนา การจำกัดขอบเขตการพิจารณาตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองมายืนที่หน้าบ้านผู้เสียหายทั้งสอง ห่างบันไดขึ้นบ้านประมาณ1 วา แล้วจำเลยที่ 1 ร้องบอก ว. น้องผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอยู่บนบ้านว่า ที่ ว. ยืมเงินจำเลยที่ 1 มาและให้เด็กนำเงินไปคืนนั้นยังขาดอยู่ 100 บาท ว. ให้ผู้เสียหายที่ 2ลงไปพูดกับจำเลยที่ 1 แม้จะเป็นเวลา 19 นาฬิกาเศษ แต่ผู้เสียหายที่ 2 กำลังคิดเงินให้ลูกจ้างตัดอ้อยอยู่ จำเลยทั้งสองก็เป็นญาติกับผู้เสียหายที่ 2 ด้วย จำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นไปบนบ้าน ไม่มีเจตนาจะมาตบตีผู้เสียหายที่ 2 ถือได้ว่าเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุผลอันสมควร การที่ผู้เสียหายที่ 2 ลงจากบ้านไปพูดกับจำเลยที่ 1 แล้วเกิดโต้เถียงกันจนเกิดตบตีกันขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานบุกรุก
ข้อเท็จจริงที่ว่าหลังจากจำเลยทั้งสองทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 แล้ว ผู้เสียหายที่ 1บอกจำเลยทั้งสองให้ออกไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ออกไปกลับด่าผู้เสียหายที่ 1 และทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 อีกนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษศาลไม่อาจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาลงโทษจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2526/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางสาธารณะเกิดขึ้นได้จากการใช้ประโยชน์ต่อเนื่องของประชาชน แม้ไม่มีการจดทะเบียน
ทางสาธารณะนั้นประชาชนทุกคนมีสิทธิใช้ได้บุคคลใดก็ไม่มีอำนาจห้ามบุคคลอื่นใช้ทางสาธารณะแม้จำเลยจะสละข้อต่อสู้ที่ว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะไปแล้วคงต่อสู้ว่าถนนพิพาทเป็นทางภารจำยอมเพียงประเด็นเดียวก็ตามหากข้อเท็จจริงปรากฏว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะได้หาเป็นการนอกประเด็นไม่ ประชาชนใช้ถนนพิพาทเป็นทางเข้าออกถนนใหญ่เป็นเวลากว่า10ปีแล้วไม่มีผู้ใดห้ามปรามถือว่าเจ้าของได้ยกที่ดินที่ถนนพิพาทตัดผ่านให้เป็นทางสาธารณะอันเป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304ไม่จำต้องมีการจดทะเบียนยกให้เป็นทางสาธารณะต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2526/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางสาธารณะ ทางภารจำยอม และการสละที่ดินเพื่อประโยชน์สาธารณะ ศาลวินิจฉัยได้แม้จำเลยสละประเด็น
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่าทางพิพาทไม่ได้เป็นทางภารจำยอม ห้ามจำเลยและบริวารใช้ทางพิพาท แต่เมื่อทางสาธารณะนั้นประชาชนทุกคนมีสิทธิใช้ได้ บุคคลใดก็ไม่มีอำนาจห้ามบุคคลอื่นใช้ทางสาธารณะ ดังนั้นแม้จำเลยจะสละข้อต่อสู้ที่ว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะไปแล้ว คงต่อสู้ว่าถนนพิพาทเป็นทางภารจำยอมเพียงประเด็นเดียวก็ตามหากข้อเท็จจริงปรากฏว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะได้ หาเป็นการนอกประเด็นไม่ นอกจากอาจารย์โรงเรียนประมาณ 200 คน และนักเรียนประมาณ 3,000 บาทแล้ว ยังมีราษฎรซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ในละแวกถนนพิพาทกว่า 20 ครัวเรือน ได้ใช้ถนนพิพาทเป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะ โดยบางคนใช้ถนนพิพาทมาตั้งแต่เริ่มสร้างเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ไม่มีผู้ใดห้ามปราม ถือได้ว่าเจ้าของที่ดินพิพาทเดิมได้ยกที่ดินส่วนที่ถนนพิพาทตัดผ่านให้เป็นทางสาธารณะ อันเป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304 โดยไม่จำต้องมีการจดทะเบียนยกให้เป็นทางสาธารณะต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2526/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางสาธารณะและการสละที่ดินเพื่อประโยชน์สาธารณะ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้แม้จำเลยสละข้อต่อสู้
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่แล้ววินิจฉัยว่าทางพิพาทไม่ได้เป็นทางภารจำยอมห้ามจำเลยและบริวารใช้ทางพิพาทแต่เมื่อทางสาธารณะนั้นประชาชนทุกคนมีสิทธิใช้ได้บุคคลใดก็ไม่มีอำนาจห้ามบุคคลอื่นใช้ทางสาธารณะดังนั้นแม้จำเลยจะสละข้อต่อสู้ที่ว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะไปแล้วคงต่อสู้ว่าถนนพิพาทเป็นทางภารจำยอมเพียงประเด็นเดียวก็ตามหากข้อเท็จจริงปรากฏว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะได้หาเป็นการนอกประเด็นไม่ นอกจากอาจารย์โรงเรียนประมาณ200คนและนักเรียนประมาณ3,000บาทแล้วยังมีราษฎรซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ในละแวกถนนพิพาทกว่า20ครัวเรือนได้ใช้ถนนพิพาทเป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะโดยบางคนใช้ถนนพิพาทมาตั้งแต่เริ่มสร้างเป็นเวลากว่า10ปีแล้วไม่มีผู้ใดห้ามปรามถือได้ว่าเจ้าของที่ดินพิพาทเดิมได้ยกที่ดินส่วนที่ถนนพิพาทตัดผ่านให้เป็นทางสาธารณะอันเป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304โดยไม่จำต้องมีการจดทะเบียนยกให้เป็นทางสาธารณะต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2526/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางสาธารณะและการสละที่ดินเพื่อประโยชน์สาธารณะ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยแม้จำเลยสละข้อต่อสู้
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทางพิพาทเป็นทางภาระ-จำยอมหรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่าทางพิพาทไม่ได้เป็นทางภาระจำยอม ห้ามจำเลยและบริวารใช้ทางพิพาท แต่เมื่อทางสาธารณะนั้นประชาชนทุกคนมีสิทธิใช้ได้ บุคคลใดก็ไม่มีอำนาจห้ามบุคคลอื่นใช้ทางสาธารณะ ดังนั้นแม้จำเลยจะสละข้อต่อสู้ที่ว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะไปแล้ว คงต่อสู้ว่าถนนพิพาทเป็นทางภาระจำยอมเพียงประเด็นเดียวก็ตาม หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าถนนพิพาทเป็นทางสาธารณะได้ หาเป็นการนอกประเด็นไม่
นอกจากอาจารย์โรงเรียนประมาณ 200 คน และนักเรียนประมาณ 3,000 คนแล้ว ยังมีราษฎรซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ในละแวกถนนพิพาทกว่า20 ครัวเรือน ได้ใช้ถนนพิพาทเป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะ โดยบางคนใช้ถนนพิพาทมาตั้งแต่เริ่มสร้างเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ไม่มีผู้ใดห้ามปราม ถือได้ว่าเจ้าของที่ดินพิพาทเดิมได้ยกที่ดินส่วนที่ถนนพิพาทตัดผ่านให้เป็นทางสาธารณะ อันเป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตาม ป.พ.พ.มาตรา1304 โดยไม่จำต้องมีการจดทะเบียนยกให้เป็นทางสาธารณะต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2417/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามกระทำชำเราเด็กหญิง: การพิจารณาเจตนาและผลการกระทำ
ตามพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำมาตั้งแต่เริ่มแรกโดยจำเลยถอดกางเกงของตนและกางเกงในของโจทก์ทั้งสองออกแล้วจำเลยจับโจทก์ทั้งสองขยับขึ้นลงในขณะที่อวัยวะเพศของจำเลยแข็งตัวย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยมาตั้งแต่เริ่มต้นว่าจะกระทำชำเราโจทก์ทั้งสองหาใช่มีเจตนากระทำอนาจารเพียงอย่างเดียวไม่แต่เนื่องจากขนาดของอวัยวะเพศของจำเลยและโจทก์ทั้งสองประกอบกับลักษณะการกระทำชำเราของจำเลยต่อโจทก์ทั้งสองอวัยวะเพศของจำเลยคงทิ่มแทงถูกบริเวณภายนอกของอวัยวะเพศของโจทก์ทั้งสองเท่านั้นการลงมือกระทำชำเราของจำเลยต่อโจทก์ทั้งสองจึงไม่บรรลุผลจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเราโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา277วรรคแรกอันเป็นความผิดเกี่ยวกับการกระทำต่อเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน15ปีการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา277วรรคสองซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการกระทำต่อเด็กหญิงอายุไม่เกิน13ปีที่มีโทษหนักกว่าย่อมไม่ชอบเพราะเกินคำขอแม้จะเป็นความผิดฐานพยายามก็ตามคงลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา277วรรคแรกเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2209/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนาของผู้ถูกจำคุก: คำพิพากษาไม่ถึงที่สุด ไม่ถือเป็นภูมิลำเนาตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา47กำหนดภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายได้แก่เรือนจำหรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัวบทบัญญัติดังกล่าวแยกผู้ที่ถูกจำคุกออกเป็น2กรณีต่างหากจากกันคือถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลกรณีหนึ่งและถูกจำคุกตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายอีกกรณีหนึ่งหาใช่เป็นกรณีเดียวกันไม่เมื่อปรากฎว่าในขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องขอฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาอยู่ที่เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี แต่คำพิพากษาดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดดังนี้จะถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา47ไม่ได้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรี
of 94